https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/issue/feed วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม 2025-09-03T13:36:13+07:00 ผศ.ดร.นิเทศ สนั่นนารี phimoldhamma.prij@gmail.com Open Journal Systems <p><strong><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/marisa2020/blobid0-ee0d17668d7f2d13103dedd88b1d48b4.jpg" /></strong></p> <p><strong>ISSN 2822-0374 (Print)<br />ISSN 2822-0366 (Online)</strong></p> <p>วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรมรับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้านศิลปศาสตร์ ด้านพระพุทธศานา ปรัชญา การศึกษาเชิงประยุกต์ ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปกิณกะ (Book Review)<strong><br /></strong></p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่วารสาร ปีละ 3 ฉบับ<br /></strong>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>การพิจารณาและคัดเลือกบทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double – blind peer review)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียม</strong><br />ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความวารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม บทความละ 4,000 บาท โดยชำระค่าธรรมเนียมหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการวารสาร ก่อนที่จะดำเนินการส่งบทความถึงผู้ทรงคุณวุฒิ</p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/281058 ช่อฟ้า: การอธิบายปริศนาธรรมผ่านช่อฟ้าพระอุโบสถวัดกลาง พระอารามหลวง ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ 2025-03-20T16:51:37+07:00 พระครูสุชัยมงคลกิจ สุคโต (การสำเนียง) suchaimongkon.2502@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายปริศนาธรรมผ่านช่อฟ้าพระอุโบสถ วัดกลาง พบว่า ช่อฟ้าวัดกลาง เป็นแบบปากหงส์ 6 ตัว ความสูง 1.40 เมตร หลังคาทำซ้อน 3 ซ้อน 3 ตับ ตามแบบของภาคกลาง ตามความเชื่อของท้องถิ่นอีสาน ช่อฟ้าพระอุโบสถวัดกลางมีความหมายเกี่ยวข้องกับสัตว์ป่าที่อยู่หิมพานต์ คือ หลักธรรมของการปฏิบัติ 3 ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นําไปสู่ความสว่าง ความหลุดพ้น ช่อฟ้าเอก หมายถึง ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 และ 84,000 พระธรรมขันธ์ สำหรับช่อฟ้าชั้นที่ 2 หมายถึง ความดีงาม ศีลเป็นตัวฆ่าความชั่ว (กิเลส) เมื่อใจชนะกิเลสได้ ก็เกิดสมาธิมีสติ กําเนิดรู้ เกิดปัญญา ส่วนช่อฟ้าชั้นที่ 3 (สูงสุด) หมายถึง ปัญญา มุ่งสู่การดับสิ้นซึ่งอาสวะกิเลส โดยมีสีสันของช่อฟ้าเป็นการลงรักปิดทองทึบ ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ ความมันวาว ความเรืองรองของทองที่ปิดประดับบนช่อฟ้า เป็นความเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู และแผ่ขยายเปล่งประกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และยังพบปริศนาธรรมการอธิบายถึงอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ คือ ความทุกข์ ความไม่พึงพอ สมุทัย คือ สาเหตุของความทุกข์ ที่มาของความทุกข์ นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ และมรรค คือ ทางไปสู่การดับทุกข์ ที่เป็นหัวใจหลักสำคัญ เพื่อหลุดพ้นไปจากความทุกข์ และเพื่อความดับซึ่งอวิชชา คือ ความไม่รู้ การขาดความรู้ อันสำคัญ</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282014 จูฬกัมมวิภังคสูตร: บทเรียนแห่งกรรมและการเยียวยาชีวิตเพื่อการเสริมสร้างชีวิตที่ดี 2025-09-02T15:58:09+07:00 ปิยพัชญ์ กุลเจริญพงศ์ piyapatkul_67@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความเป็นมาและความสำคัญอีกทั้งแนวทางการประยุกต์ใช้ จูฬกัมมวิภังคสูตร ซึ่งเป็นสูตรคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับหลักกรรม โดยเน้นที่การสร้างความตระหนักรู้ในผลของการกระทำและส่งเสริมให้บุคคลมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมปัจจุบัน การศึกษานี้อิงจากพระไตรปิฎกและเอกสารทางวิชาการ เพื่อวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน<br />ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของมนุษย์ “จูฬกัมมวิภังคสูตร” ซึ่งเป็นหลักธรรมที่เน้นความสัมพันธ์ของกรรมดี กรรมชั่ว และผลที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในชีวิตประจำวัน เช่น การพูดไม่ระวังอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ขณะที่การแสดงน้ำใจอาจนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวก นอกจากนี้ยังเน้นการมีสติ เมตตา การให้อภัย และการยอมรับความแตกต่างด้านฐานะ ความรู้ การศึกษา และประสบการณ์ชีวิตอย่างเข้าใจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติและการกระทำของแต่ละบุคคล เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสงบในสังคมที่หลากหลาย<br />การนำหลักธรรมในสูตรนี้ไปประยุกต์ใช้ สามารถช่วยเสริมสร้างชีวิตที่สมดุล มีคุณธรรม และสร้างความมั่นคงทางจิตใจแก่ปัจเจกบุคคล ตลอดจนส่งเสริมความกลมเกลียวในระดับสังคม โดยมีข้อเสนอแนะคือการปฏิบัติตามหลักจูฬกัมมวิภังคสูตรจะช่วยเสริมสร้างชีวิตที่สมดุลและสงบสุข และควรนำไปเผยแพร่คำสอนดังกล่าวในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ผู้คนในสังคมปัจจุบันสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ เสนอให้มีการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของการนำหลักธรรมไปใช้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่สังคมในระยะยาว</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282213 DAVID BOHM: ว่าด้วย สุนทรียสนทนา “On Dialogue” 2025-09-03T13:36:13+07:00 พระมหาประวิทย์ ธมฺมวโร (บุญเต็ม) ghowit5626@gmail.com <p>บทวิจารณ์หนังสือนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสุนทรียสนทนาของเดวิด โบห์ม ซึ่งเป็นวิธีการสนทนาที่ลึกซึ้ง และมีผลกระทบต่อความเข้าใจของคนในสังคม ที่เน้นความสำคัญของการฟังอย่างตั้งใจ และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเสรี โบห์มนำเสนอถึงอุปสรรคของการสื่อสาร และแนวทางการพัฒนาความคิด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี นอกจากนี้ โบร์มยังชี้ให้เห็นว่าการสนทนาที่สร้างสรรค์สามารถเปิดเผยมุมมองใหม่ๆ และเพิ่มพูนความเข้าใจในตนเอง และผู้อื่นได้อย่างมีคุณค่า</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282020 แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในตำบลเมืองแปง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2025-03-20T15:03:06+07:00 ณัฐชนน วงค์ธิมา natchanon.4995@gmail.com ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ ณ อยุธยา natchanon.4995@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในตำบลเมืองแปง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2) เสนอแนะ ขั้นตอน วิธีการดำเนินการสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่ป่าในหมู่บ้านต่างๆของตำบลเมืองแปง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ประชากรในพื้นที่ตำบลเมืองแปง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ กลุ่มที่ 1 หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 9 ราย กลุ่มที่ 2 ผู้นำหมู่บ้าน จำนวน 8 ราย และกลุ่มที่ 3 แกนนําผู้ปฏิบัติงานด้านไฟป่า และผู้ปฏิบัติงานด้านไฟป่าในพื้นที่ จำนวน 15 ราย รวมทั้งหมด 32 ราย<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน พบว่า กระบวนการความร่วมมือในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกับแกนนำชาวบ้าน ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ทำงานร่วมกันในการจัดการไฟป่าและหมอกควัน ปัจจัยหลักที่เป็นสาเหตุทำให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ ระบบราชการมีขั้นตอนการดำเนินงานที่ซับซ้อน การขาดงบประมาณ การสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ ผู้นำชุมชนและชาวบ้านมักขาดความชัดเจน การขาดการประสานงานกัน ความจำเป็นและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัครการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน มีความเป็นไปได้สูงที่จะจัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัครการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. เสนอแนะ ขั้นตอน วิธีการดำเนินการสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า พบว่า ด้านวิธีการดำเนินการสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร โดยการคัดเลือกและแต่งตั้งแกนนำอาสาสมัครในแต่ละหมู่บ้าน จัดตั้งกลุ่มเครือข่ายอาสาสมัครไฟป่า จากการศึกษาได้แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยการจัดตั้งหน่วยเฝ้าระวังไฟป่าในแต่ละหมู่บ้าน อบรมอาสาสมัคร สนับสนุนอุปกรณ์ดับไฟป่าและงบประมาณ ใช้เทคโนโลยีติดตามสถานการณ์ไฟป่า สร้างความเข้าใจในชุมชนและการสื่อสาร ติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง</span></p> 2025-08-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282191 อัตลักษณ์ของชาวไทยซิกข์ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย 2025-05-15T11:13:45+07:00 กนกวรรณ ขวัญยืน kanokwan.kh90@gmail.com พิไลรัตน์ ศรีวิเชียรอำไพ kanokwan.kh90@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิถีชีวิตของชาวไทยซิกข์ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย 2) ศึกษาอัตลักษณ์ของชาวไทยซิกข์ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และชาวไทยซิกข์ในจังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี จำนวน 20 คน ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก และนำเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบพรรณนา<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong><br />1. วิถีชีวิตของชาวไทยซิกข์ในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เกิดจากการอพยพเข้ามาอยู่ในบางพื้นที่ของจังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี สงขลาเป็นกลุ่มที่ตั้งรกรากมานาน ส่วนใหญ่ค้าขายผ้า สุราษฎร์ธานีเป็นกลุ่มที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานภายหลัง ส่วนใหญ่เป็นช่างตัดเสื้อ วิถีชีวิตยังแสดงผ่านการปฏิบัติศาสนกิจประจำวัน การดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนและข้อปฏิบัติ การใช้ภาษาปัญจาบีในศาสนพิธี ทว่าการอยู่ร่วมกับคนท้องถิ่นส่งผลให้ชาวไทยซิกข์ไม่ไว้ผมและหนวดเครา โพกศีรษะในวัดซิกข์เท่านั้น ชาวไทยซิกข์ยังใช้ชื่อจริงสองชื่อ คือ ชื่อจริงภาษาปัญจาบีที่ตั้งตามหลักศาสนา และชื่อจริงภาษาไทยที่ใช้แจ้งเกิดตามกฎหมาย เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมให้ง่ายต่อการแนะนำตัวและติดต่อค้าขายกับคนท้องถิ่น<br />2. อัตลักษณ์ของชาวไทยซิกข์ในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มีการผสมวัฒนธรรมซิกข์ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษเข้ากับการปรับตัวในสังคมภาคใต้ โดยใช้ภาษาไทยกลางที่ลงท้ายประโยคด้วยคำท้องถิ่นและใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ การปรับรสชาติอาหารอินเดียให้คล้ายอาหารใต้ การแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ผู้ชายบางคนไม่สวมเสื้อในฤดูร้อน ผู้หญิงสวมเสื้อแขนสั้นมากขึ้น ตลอดจนการเข้าร่วมพิธีกรรมต่างศาสนาและประเพณีภาคใต้ เพื่อสร้างความกลมกลืนในสังคมพหุวัฒนธรรม ส่งผลให้ชาวไทยซิกข์ในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากชาวไทยซิกข์ในพื้นที่อื่น</p> 2025-08-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282512 การพัฒนาความสามารถด้านการเขียนสะกดคําที่มีตัวการันต์ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีโดยใช้สมองเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2025-03-08T16:35:11+07:00 พรพักตร์ อินคง pitchayapornpan_ana@cmru.ac.th สมิต ค่อยประเสริฐ tamponpak.00124@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของการพัฒนาความสามารถด้านการเขียนสะกดคำที่มีตัวการันต์โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสะกดคำที่มีตัวการันต์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 31 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และ t-test แบบกลุ่มสัมพันธ์<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า <br /></strong>1. ประสิทธิภาพของการพัฒนาความสามารถด้านการเขียนสะกดคำที่มีตัวการันต์อยู่ที่ 87.17/87.20 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80<br />2. ความสามารถในการเขียนสะกดคำที่มีตัวการันต์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />3. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.58, S.D. = 0.61)</p> 2025-08-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/281502 การพัฒนารูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนบ้านดงจงอาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร เขต 1 2025-03-20T14:17:14+07:00 ศุภิสรา กรแก้ว supitsarakornkaew@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบ 2) สร้างและพัฒนารูปแบบ 3) ทดลองใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนบ้านดงจงอาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร เขต 1 ประชากร 158 คน ประกอบด้วยคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา สภานักเรียน นักเรียน และผู้ปกครอง โดยกลุ่มทดลองคือครูประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 6 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.986 แบบสัมภาษณ์ รูปแบบที่พัฒนาขึ้น แผนปฏิบัติการทดลอง แบบประเมินประสิทธิภาพ ประสิทธิผล คุณค่า ความพึงพอใจ และการสนทนากลุ่มกับผู้เชี่ยวชาญ 12 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นโดยรวมมีค่า PNI <sub>modified</sub> เท่ากับ 0.307 โดยมีลำดับความสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน การส่งต่อ การคัดกรอง การป้องกันและแก้ไขปัญหา และการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">รูปแบบ DIBE5S3P Model มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการ เงื่อนไขความสำเร็จ ผลลัพธ์ และการประเมิน ซึ่งมีค่าความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.80-1.00<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผลการทดลองใช้พบว่ากิจกรรม 1-5 อยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ การประชุมครู การรู้จักนักเรียนรายบุคคล การคัดกรอง การส่งเสริม และการป้องกันแก้ไข ส่วนกิจกรรมด้านการส่งต่ออยู่ในระดับมาก<br /></span>4. ผลการประเมินประสิทธิภาพ ประสิทธิผล คุณค่า และความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องอยู่ในระดับมากที่สุด แสดงให้เห็นว่ารูปแบบนี้มีความเหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้จริง</p> 2025-08-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282239 การบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 2025-03-08T16:41:37+07:00 วราภรณ์ เพ็งแก้ว pop0981142011@gmail.com พระครูปลัดบุญช่วย โชติวํโส boonchuay.cho@mcu.ac.th พระครูวินัยธรวรวุฒิ เตชธมฺโม worawut2018@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) ศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 293 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหาตามหลักอุปนัย<strong> <br /></strong><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา ภาพรวมทั้ง 7 ด้าน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.38, S.D. = 0.84)<br /></span>2. แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 ดังนี้ 1) หลักธัมมัญญุตา ผู้บริหารสถานศึกษามีการตรวจสอบติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างเป็นระบบ 2) หลักอัตถัญญุตา ผู้บริหารสถานศึกษามีความมุ่งมั่นและความเพียรพยายามที่จะขับเคลื่อนงานไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้อย่างถูกต้อง 3) หลักอัตตัญญุตา ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรมีจิตใจโอบอ้อมอารี มีน้ำใจต่อบุคคลทั่วไป 4) หลักมัตตัญญุตา ผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาความดีความชอบได้ทั่วถึงทุกคน 5) หลักกาลัญญุตา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ที่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ทันต่อเหตุการณ์และเวลา 6) หลักปริสัญญุตา ผู้บริหารสถานศึกษาให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมของบุคลากรและทุกคนในชุมชน 7) หลักปุคคลัญญุตา ผู้บริหารสถานศึกษาจัดให้มีสวัสดิการด้านต่างๆ แก่บุคลากรตามความเหมาะสม</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/280770 การพัฒนานวัตกรรมสื่อการสอนเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียน สำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ ภาค 1, ภาค 2 และภาค 3 2025-05-14T11:57:59+07:00 พระกิตติสารสุธี (เชิดชัย สีลสมฺปนฺโน) sonk101@hotmail.com วรธนัท พรมศรี sonk101@hotmail.com สำราญ ศรีคำมูล sonk101@hotmail.com พระมหาไทยน้อย ญาณเมธี (สลางสิงห์) nikkybaty2012@hotmail.com มนตรี รอดแก้ว sonk101@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีคณะสงฆ์ภาค 1, ภาค 2 และภาค 3 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนของสำนักเรียนของนักเรียน 3) พัฒนานวัตกรรมสื่อการสอนยกระดับคุณภาพการเรียนของนักเรียน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีคณะสงฆ์ภาค 1, ภาค 2 และภาค 3 ทั้งหมด 10 จังหวัด 21 โรงเรียนเรียน จำนวน 306 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบแบบสอบถาม จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ ระหว่าง .457-.840 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.971 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, ค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยของพหุคูณ และวิเคราะห์เชิงพรรณนา <br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพปัญหา ที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีคณะสงฆ์ภาค 1, ภาค 2 และภาค 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากสูงไปน้อยได้ดังนี้ ด้านการวัดผล และประเมินผล ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านสื่อ และนวัตกรรมการเรียนรู้ ด้านหลักสูตร และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ ตามลำดับ<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีคณะสงฆ์ภาค 1, ภาค 2 และภาค 3 พบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br /></span>3. การพัฒนานวัตกรรมสื่อการสอนเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ ภาค 1, ภาค 2 และภาค 3 ที่นำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ 1) สื่อประเภทวัสดุ 2) สื่อประเภทอุปกรณ์ 3) สื่อประเภทเทคนิค รูปแบบการสอน และวิธีการ</p> 2025-08-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/281152 การตัดสินใจเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของประชาชนเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร 2025-03-07T16:37:14+07:00 กำพล ศรีมณีพันธ์ kampon2504@gmail.com เวชสุวรรณ อาจวิชัย kampon2504@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการตัดสินใจเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของประชาชนเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร 2) เปรียบเทียบการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชน จำแนกตามเพศ อายุ การศึกษา และอาชีพ และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะในการตัดสินใจเลือกตั้งนายกเทศมนตรี การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร จำนวน 394 คน ใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.96 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong><br />1. การตัดสินใจเลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าเรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ได้แก่ คุณสมบัติของผู้สมัคร นโยบาย บุคคลที่มีอิทธิพล พรรคการเมือง และการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง<br />2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง จำแนกตามเพศ อายุ การศึกษา และอาชีพ พบว่าไม่แตกต่างกันทั้งโดยรวมและรายด้าน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานของการวิจัย<br />3. ข้อเสนอแนะ คือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งควรให้ความสำคัญกับการเลือกผู้สมัครที่มีความรู้ ความสามารถ คุณวุฒิทางการศึกษาที่เหมาะสม และมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาท้องถิ่น รวมทั้งควรพิจารณาพรรคการเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อสิทธิขายเสียงมากกว่าที่เป็นอยู่</p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283925 แนวทางพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น 2025-05-15T17:21:38+07:00 สมิง อบมา samingo2499@gmail.com ชาติชาย เกตุพรหม samingo2499@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีดังกล่าว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูจำนวน 271 คน กำหนดโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ และผู้ให้ข้อมูลสำคัญเชิงลึก 3 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม (ค่าความเชื่อมั่น 0.94) และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.25, S.D. = 0.63) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ความร่วมมือกับสถานประกอบการ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.30, S.D. = 0.59) รองลงมาคือ การจัดการหลักสูตร (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.29, S.D. = 0.63) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ การนิเทศ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.19, S.D. = 0.71)<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. แนวทางการพัฒนาประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน เน้นการบูรณาการเรียนรู้กับการทำงาน พัฒนาครูด้วยเทคโนโลยี และสอดคล้องกับบริบทและความต้องการของสถานประกอบการ การวัดผลประเมินผล ร่วมมือระหว่างครูผู้สอนและครูฝึก ใช้ทั้งเอกสารและระบบออนไลน์ ความร่วมมือกับสถานประกอบการ แสวงหาความร่วมมือกับสถานประกอบการชั้นนำ และเลือกเป็นต้นแบบ การจัดการหลักสูตร พัฒนาหลักสูตรร่วมกันให้สอดคล้องกับบริบทและครุภัณฑ์ การนิเทศ จัดตั้งคณะกรรมการร่วม ติดตามความก้าวหน้าตามแผนการฝึก และพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการนิเทศอย่างมีประสิทธิภาพ</span></p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282564 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้สูงอายุในอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น 2025-03-28T09:07:28+07:00 พระเอกพัน สิริวณฺณเมธี (อินจันทึก) 6605204007@mcu.ac.th ชาญชัย ฮวดศรี 6605204007@mcu.ac.th สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา 6605204007@mcu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้สูงอายุในอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรมกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้สูงอายุ และ 3) เสนอแนวทางการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้สูงอายุ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ 400 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 12 รูป/คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.97, S.D. = 1.20) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.97, S.D. = 1.20) รองลงมาคือด้านการสื่อสารทางการเมือง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.96, S.D. = 0.71) การติดตามข่าวสารทางการเมือง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.85, S.D. = 0.82) การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.78, S.D. = 0.82) และการเลือกตั้ง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.59, S.D. = 0.62)<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรมกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้สูงอายุ พบว่าหลักอปริหานิยธรรมทั้ง 7 ประการมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br /></span>3. แนวทางการบูรณาการ ได้แก่ การเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม การสนับสนุนบทบาทสตรีในชุมชน และการปลูกฝังจริยธรรมผ่านกิจกรรมทางศาสนา เพื่อให้ผู้สูงอายุมีบทบาททางการเมืองอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน</p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283645 ผลของการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่มีต่อความสามารถในการอ่านวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2025-07-23T11:30:29+07:00 อัลสุรีย์ เมืองมูล 6612610006@rumail.ru.ac.th เด่นดาว ชลวิทย์ 6612610006@rumail.ru.ac.th <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังเรียนด้วยการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนด้วยการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานกับเกณฑ์ เป็นการวิจัยแบบทดลองขั้นพื้นฐาน (Pre-experimental design) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 42 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จำนวน 4 แผน และแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านวิเคราะห์ จำนวน 30 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent sample t–test)</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></div> <div>1. ความสามารถในการอ่านวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนด้วยการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</div> <div>2. ความสามารถในการอ่านวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนด้วยการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</div> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/281762 การบริหารงานวิชาการตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 2025-03-20T14:19:23+07:00 วิทวัส สุดน้อย witthawat538@gmail.com สุนทร สายคำ witthawat538@gmail.com พระครูปลัดบุญช่วย โชติวํโส (อุ้ยวงค์) ิิboonchuay.cho@mcu.ac.th <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักสังคหวัตถุ 4 และ 2) ศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการตามหลักสังคหวัตถุ 4 เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 293 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหาตามหลักอุปนัย</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></div> <div>1. สภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก และเมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารงานวิชาการตามหลักสมานัตตตา รองลงมา คือ ด้านการบริหารงานวิชาการตามหลักปิยวาจา ด้านการบริหารงานวิชาการตามหลักอัตถจริยาและด้านการบริหารงานวิชาการตามหลักทาน ตามลำดับ</div> <div>2. แนวทางการบริหารงานวิชาการตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 สถานศึกษาควรดำเนินการดังนี้ 1) ให้คำปรึกษา แนวคิดหรือแนวทางการดำเนินชีวิตที่เป็นประโยชน์ช่วยส่งเสริมความมั่นใจและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ครูและผู้เรียน 2) ใช้คำพูดที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของครูและผู้เรียน ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดอย่างเปิดกว้าง 3) ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนคิดนอกกรอบและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ผ่านการเรียนรู้ที่ท้าทายและน่าสนใจ 4) สนับสนุนให้ครูสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความร่วมมือโดยให้ผู้เรียนที่มีพื้นฐานความรู้แตกต่างกันมีโอกาสเรียนรู้ร่วมกันอย่างเปิดกว้าง</div> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283600 กลยุทธ์การพัฒนาพุทธวิธีเพื่อการเผยแผ่ศาสนทายาท: กรณีศึกษาเผ่าปกาเกอะญอ จังหวัดเชียงใหม่ 2025-05-19T10:51:59+07:00 วรวุฒิ สุขสมบูรณ์ vic32@windowslive.com ไชยยา เรืองดี vic32@windowslive.com วิญญู เถาถาวงษ์ vic32@windowslive.com มนตรี รอดแก้ว vic32@windowslive.com อาทิตย์ ชูชัย vic32@windowslive.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนากลยุทธ์การพัฒนาพุทธวิธีเพื่อการเผยแผ่ศาสนทายาท 2) สร้างกลยุทธ์การพัฒนาพุทธวิธีเพื่อการเผยแผ่ศาสนทายาท และ 3) ประเมินกลยุทธ์ดังกล่าว เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์เผ่าปกาเกอะญอ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 140 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 แบบสอบถามเกี่ยวกับการพัฒนาพุทธวิธีเพื่อการเผยแผ่ จำนวน 20 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .609 ถึง .829 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis: MRA) และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. สภาพปัจจุบันและปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาพุทธวิธีเพื่อการเผยแผ่ศาสนทายาทโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุดคือ ทาน รองลงมาคือ ศีล ส่วนที่มีความคิดเห็นต่ำสุดคือ ภาวนา</div> <div>2. กลยุทธ์การพัฒนาที่สร้างขึ้นประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่ (1) เชิญผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำชุมชน ตัวแทนเผ่าปกาเกอะญอ และพระภิกษุสงฆ์ร่วมวางแนวทางแก้ปัญหา (2) สร้างจุดเด่นที่น่าสนใจในกิจกรรม (3) สร้างแรงจูงใจและสิ่งสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักสังคหวัตถุ 4 และ (4) จัดสรรทุนสนับสนุนด้านสถานที่และงบประมาณ เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของศาสนทายาท</div> <div>3. ผลการประเมินกลยุทธ์โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุดคือ ความถูกต้อง รองลงมาคือ ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ ส่วนด้านที่ต่ำสุดคือ การนำไปใช้ประโยชน์</div> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283605 ผลการจัดการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบเอ็กซ์พลิซิทที่มีต่อความสามารถในการอ่านและเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2025-05-15T14:14:53+07:00 ฟ้าอรุณ แก้วชาวนา faaroon263812@gmail.com เด่นดาว ชลวิทย์ faaroon263812@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบ เอ็กซ์พลิซิท 2) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงทดลอง (Experimental Designs) โดยใช้การทดลองกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังเรียน (The One Group Pretest - Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/EP ปีการศึกษา 2567 จำนวน 31 คน โรงเรียนวัดลานบุญ สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหาคร ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท จำนวน 6 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านสะกดคำ จำนวน 30 ข้อ และแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสะกดคำ จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที แบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent sample t-test)</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></div> <div>1. ความสามารถในการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบเอ็กซ์พลิซิทหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 </div> <div>2. ความสามารถในการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบเอ็กซ์พลิซิทหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</div> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283814 การบริหารงานทั่วไปยุค BANI World ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 2025-04-11T11:56:51+07:00 ธีริศรา ศิริแพงพา bs5481136778@gmail.com ชาติชาย เกตุพรหม bs5481136778@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานทั่วไปยุค BANI World ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารงานทั่วไปยุค BANI World ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณคือ</div> <div>ผู้บริหารและครู จำนวน 309 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนกลุ่มข้อมูลเชิงคุณภาพคือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 3 คน เลือกแบบเจาะจง ใช้เครื่องมือแบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. สภาพการบริหารงานทั่วไปยุค BANI World ของสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.13, S.D. = 0.72) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ งานกิจการนักเรียน (x̄ = 4.45, S.D. = 0.64) รองลงมา คือ งานการจัดระบบการควบคุมภายในหน่วยงาน (x̄ = 4.37, S.D. = 0.57) และต่ำสุดคือ งานประชาสัมพันธ์การศึกษา (x̄ = 3.82, S.D. = 0.77)</div> <div>2. แนวทางการพัฒนา ได้แก่ งานกิจการนักเรียนควรเน้นความยืดหยุ่น การดูแลสุขภาพจิต การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน และการเสริมสร้างทักษะเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง งานการควบคุมภายในควรให้ความสำคัญกับการวางแผนที่ยืดหยุ่น ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการทำงานเพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่แน่นอนได้ ส่วนงานประชาสัมพันธ์ควรอบรมบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์ และพัฒนาช่องทางการสื่อสาร เช่น เพจประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความร่วมมือจากชุมชน</div> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283833 แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 2025-04-11T19:01:53+07:00 รัตติกาล ภูสังวาล rattikanphusangwan@gmail.com ชาติชาย เกตุพรหม rattikanphusangwan@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 370 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.68 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ส่วนกลุ่มเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 3 คน เลือกแบบเจาะจง ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. สภาพภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.56, S.D. = 0.67) โดยองค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ทางดิจิทัล (x̄ = 4.59, S.D. = 0.65) จริยธรรมทางดิจิทัล (x̄ = 4.57, S.D. = 0.64) การพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพ (x̄ = 4.56, S.D. = 0.70) วิถีการเรียนรู้เชิงดิจิทัล (x̄ = 4.55, S.D. = 0.65) และสมรรถนะทางเทคโนโลยี (x̄ = 4.52, S.D. = 0.70)</div> <div>2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาประกอบด้วย 5 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การมีวิสัยทัศน์ทางดิจิทัล (2) การพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพ (3) วิถีการเรียนรู้เชิงดิจิทัล (4) จริยธรรมทางดิจิทัล และ (5) สมรรถนะทางเทคโนโลยี รวมทั้งสิ้น 17 แนวทางย่อย เช่น การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในโรงเรียน การกำหนดเป้าหมายด้านดิจิทัล การสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ การคำนึงถึงจริยธรรมในการใช้สื่อ และการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยเน้นบทบาทของผู้บริหารในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</div> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282562 คุณลักษณะของผู้บริหารตามหลักธรรมาภิบาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 4 2025-07-23T11:12:04+07:00 ปิยะธิดา คำบุญ piyatidakumboon@gmail.com พระครูวินัยธรวรวุฒิ เตชธมฺโม (เฮียงเหี่ย) worawuth2018@gmail.com สุนทร สายคำ piyatidakumboon@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางคุณลักษณะของผู้บริหารตามหลักธรรมาภิบาล และ 2) เสนอแนวทางคุณลักษณะของผู้บริหารตามหลักธรรมาภิบาล การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสานเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 264 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย และกลุ่มข้อมูลเชิงคุณภาพคือผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 12 รูป/คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น .85 และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาตามหลักอุปนัย</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. สภาพคุณลักษณะของผู้บริหารตามหลักธรรมาภิบาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 4 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีการปฏิบัติสูงสุดคือ ด้านคุณธรรม รองลงมาคือ ด้านความคุ้มค่า นิติธรรม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และต่ำสุดคือ ด้านการมีส่วนร่วม</div> <div>2. แนวทางคุณลักษณะของผู้บริหารตามหลักธรรมาภิบาล ประกอบด้วย (1) ส่งเสริมความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี (2) มีบุคลิกภาพที่เอื้ออาทร พร้อมช่วยเหลือและสนับสนุนผู้อื่น (3) มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อกำหนดเป้าหมายและทิศทางที่ทุกคนเข้าใจได้ (4) สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาแนวทางและกลยุทธ์ (5) ประเมินผลการดำเนินงานด้านวิชาการอย่างสม่ำเสมอ และ (6) สนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาความรู้ใหม่ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและความต้องการขององค์กรอย่างต่อเนื่อง</div> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/282211 การประยุกต์ใช้พุทธจริยศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 2025-03-20T17:05:21+07:00 ธัญญพัทธ์ สวนดง seaeaw2878@gmail.com จรัส ลีกา seaeaw2878@gmail.com พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต (สุกันยา ฮาดภักดี) seaeaw2878@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักพุทธจริยศาสตร์ในธุรกิจร้านกาแฟ 2) ศึกษาหลักการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา และ 3) วิเคราะห์การประยุกต์ใช้พุทธจริยศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ การวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 35 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาตามหลักอุปนัย</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. หลักพุทธจริยศาสตร์ เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ เพื่อพัฒนาคุณธรรมและศีลธรรม การประยุกต์ใช้หลักพุทธจริยศาสตร์ในธุรกิจร้านกาแฟช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรและการบริการลูกค้า ส่งผลให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยเน้นหลักพรหมวิหาร สังคหวัตถุ และอิทธิบาท</div> <div>2. ธุรกิจร้านกาแฟในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา มีการดำเนินงานตามทฤษฎี 4M และหัวใจการบริการ โดยมุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ ความตั้งใจของพนักงาน และการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า</div> <div>3. การประยุกต์ใช้หลักพุทธจริยศาสตร์ เป็นแนวทางที่ส่งเสริมความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจและจริยธรรม โดยหลักพรหมวิหารใช้ในการพัฒนาตนเอง หลักสังคหวัตถุใช้ในการบริหารงาน และหลักอิทธิบาทใช้ในการขับเคลื่อนงาน การประยุกต์หลักธรรมเหล่านี้ไม่เพียงสร้างผลกำไร แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตบุคลากร ส่งเสริมสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน</div> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283835 ปัจจัยภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 2025-04-11T22:10:23+07:00 ปรินา ครองตน palwecom29112537@gmail.com ยุทธศาสตร์ กงเพชร palwecom29112537@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครูจำนวน 317 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างตามสูตรของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สหสัมพันธ์ และการถดถอยพหุคูณ</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></div> <div>1. ปัจจัยภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า นวัตกรรมโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงคือ ด้านสมรรถนะในการกระตุ้นการสร้างนวัตกรรม (x̄ = 4.40, S.D. = 0.74) รองลงมาคือ ด้านการมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านความสารถในการตัดสินใจ (x̄ = 4.30, S.D. = 0.68) </div> <div>2. ประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.33, S.D. = 0.58) เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยเป็นรายด้าน อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีการปฏิบัติสูงสุด คือ ด้านความสามารถในการส่งเสริมนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง (x̄ = 4.39, S.D. = 0.54) รองลงมา คือ ด้านความสามารถในการแก้ปัญหาภายในโรงเรียน (x̄ = 4.34, S.D. = 0.65) ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยน และพัฒนาโรงเรียน (x̄ = 4.33, S.D. = 0.67) ส่วนด้านที่มีการปฏิบัติต่ำสุด คือ ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก (x̄ = 4.26, S.D. = 0.59)</div> <div>3. ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยพบว่าทั้ง 4 ตัวแปรต้นมีค่าสัมประสิทธิ์พหุคูณระหว่าง 0.922 ถึง 0.954 โดยเฉพาะตัวแปรสมรรถนะในการกระตุ้นการสร้างนวัตกรรมเพียงตัวเดียว สามารถทำนายประสิทธิผลของสถานศึกษาได้ในระดับสูง</div> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283324 การพัฒนาความสามารถทางนาฏยศัพท์และภาษาท่าโดยใช้บทเรียนการ์ตูน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนลักษณ์พงค์วิทยา เชียงใหม่ 2025-05-19T10:45:29+07:00 สุทธิดา ศรีคำสุข suttida1908jarr@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและประเมินความเหมาะสมของบทเรียนการ์ตูน เรื่องนาฏยศัพท์และภาษาท่าทางนาฏศิลป์ 2) ศึกษาความสามารถของนักเรียนในการใช้นาฏยศัพท์และภาษาท่าทางนาฏศิลป์ก่อนและหลังการเรียนด้วยบทเรียนการ์ตูน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนดังกล่าว การวิจัยใช้รูปแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนลักษณ์พงค์วิทยา จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 35 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย (1) บทเรียนการ์ตูน 4 เล่ม (2) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 20 ข้อ และ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจ 13 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. บทเรียนการ์ตูนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และมีความเหมาะสมในระดับ “ดีมาก” โดยได้ค่าเฉลี่ย 4.63 (92.60%)</div> <div>2. คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่าบทเรียนการ์ตูนช่วยพัฒนาความสามารถทางนาฏยศัพท์และภาษาท่าทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ</div> <div>3. ความพึงพอใจของนักเรียนอยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.66 สะท้อนว่าบทเรียนการ์ตูนช่วยส่งเสริมความสนใจและแรงจูงใจในการเรียน</div> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283715 การบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ 2025-04-08T17:24:37+07:00 บุญยง วาดวงศ์ 6605202014@mcu.ac.th พระครูวินัยธรวรวุฒิ เตชธมฺโม 6605202014@mcu.ac.th สุนทร สายคำ 6605202014@mcu.ac.th <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 และ 2) เสนอแนวทางการส่งเสริมการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 295 คน และข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 12 รูป/คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงพรรณนา ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. สภาพการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.64, S.D. = 0.35) โดยหลักธรรมที่มีการปฏิบัติสูงสุดคือ หลักอัตตัญญุตา (x̄ = 4.69, S.D. = 0.35) รองลงมาคือ หลักปริสัญญุตา (x̄ = 4.65, S.D. = 0.36) และต่ำสุดคือ หลักธัมมัญญุตา (x̄ = 3.62, S.D. = 0.33)</div> <div>2. แนวทางการส่งเสริมการบริหารงานบุคคลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ได้แก่ ผู้บริหารควรกำหนดเป้าหมายงานที่ชัดเจน พัฒนาตนเอง และจัดทำคู่มือการบริหารงานบุคคล จัดบุคลากรให้ตรงกับความสามารถ ติดตามผลการปฏิบัติงาน ส่งเสริมการอบรมและพัฒนาความรู้แก่บุคลากรอย่างเสมอภาค จัดสรรอัตรากำลังและงบประมาณอย่างเหมาะสมพร้อมทั้งสร้างขวัญกำลังใจโดยการชมเชยผู้ปฏิบัติงานดี และปลูกฝังจิตสำนึกในองค์กร</div> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/283003 การมีส่วนร่วมของผู้นําทางการเมืองท้องถิ่นในการส่งเสริมการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ โดยประยุกต์ตามหลักอปริหานิยธรรม 2025-05-15T15:23:38+07:00 พระเมฆินทร์ ปญฺญาพโล (สุขโพธิ์) mekin27071978@gmail.com สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา mekin27071978@gmail.com สุรพล พรมกุล mekin27071978@gmail.com <div>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของผู้นำทางการเมืองท้องถิ่นในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรมกับการมีส่วนร่วมของผู้นำทางการเมืองท้องถิ่น และ 3) เสนอแนวทางการประยุกต์หลักอปริหานิยธรรมในการส่งเสริมการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของผู้นำท้องถิ่น การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณคือผู้นำทางการเมืองท้องถิ่น จำนวน 197 คน คำนวณจากสูตรทาโร่ ยามาเน่ และกลุ่มข้อมูลเชิงคุณภาพคือผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 12 รูป/คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</div> <div><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></div> <div>1. ระดับการมีส่วนร่วมของผู้นำทางการเมืองท้องถิ่นในการส่งเสริมการบริหารกิจการคณะสงฆ์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.52, S.D. = 0.54) โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ การมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ (x̄ = 3.63, S.D. = 0.66) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (x̄ = 3.53, S.D. = 0.71) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ (x̄ = 3.47, S.D. = 0.75) และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน (x̄ = 3.47, S.D. = 0.71)</div> <div>2. หลักอปริหานิยธรรมมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของผู้นำทางการเมืองท้องถิ่นในการส่งเสริมการบริหารกิจการคณะสงฆ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</div> <div>3. แนวทางการประยุกต์หลักอปริหานิยธรรม ได้แก่ การจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอและมีระบบที่ชัดเจน ครอบคลุม และตรงเวลา การร่วมมือในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ การสร้างความสามัคคีในชุมชน การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อบริบทปัจจุบัน และการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างคณะสงฆ์กับชุมชน เพื่อให้การบริหารกิจการคณะสงฆ์มีประสิทธิภาพและยั่งยืน</div> 2525-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c)