วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij
<p><strong><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/marisa2020/blobid0-ee0d17668d7f2d13103dedd88b1d48b4.jpg" /></strong></p> <p><strong>ISSN 2822-0374 (Print)<br />ISSN 2822-0366 (Online)</strong></p> <p>วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรมรับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้านศิลปศาสตร์ ด้านพระพุทธศานา ปรัชญา การศึกษาเชิงประยุกต์ ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปกิณกะ (Book Review)<strong><br /></strong></p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่วารสาร ปีละ 3 ฉบับ<br /></strong>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>การพิจารณาและคัดเลือกบทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double – blind peer review)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียม</strong><br />ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความวารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม บทความละ 4,000 บาท โดยชำระค่าธรรมเนียมหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการวารสาร ก่อนที่จะดำเนินการส่งบทความถึงผู้ทรงคุณวุฒิ</p>
สำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
th-TH
วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม
2822-0374
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารกิจการคณะสงฆ์ กรณีศึกษา: วัดในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/279825
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารกิจการคณะสงฆ์กรณีศึกษา: วัดในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารงานกิจการคณะสงฆ์กรณีศึกษา: วัดในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร จำแนกตามคุณลักษณะส่วนบุคคลทั้ง 6 ด้าน 3) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารกิจการคณะสงฆ์กรณีศึกษา: วัดในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ คณะสงฆ์ในเขตพระนคร จำนวน 400 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) <br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารกิจการคณะสงฆ์กรณีศึกษา: วัดในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส อายุ 41-60 ปี จำนวนพรรษา 10-20 พรรษา ระดับการศึกษา (วุฒิการศึกษาสายสามัญ) ปริญญาตรี มีวุฒิการศึกษาสายพระปริยัติธรรม (แผนกบาลี) ประโยค 3-6 และมีวุฒิการศึกษาสายพระปริยัติธรรม (แผนกธรรม) นักธรรมเอก<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลการเปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารงานกิจการคณะสงฆ์ พบว่า ด้านการปกครอง มีความแตกต่างตามปัจจัยคุณลักณะส่วนบุคคล ด้านอายุ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารกิจการคณะสงฆ์ พบว่า ด้านการจัดองค์กร ด้านการสั่งการ ด้านการประสานงาน ด้านการควบคุม มีอิทธิพลทางบวกต่อประสิทธิผลการบริหารงานกิจการคณะสงฆ์ โดยภาพรวม ได้ร้อยละ 49.8 (Adjusted R</span><sup>2</sup><span style="font-size: 0.875rem;"> = .498) ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p>
พระจิราวิตย์ ฐิตญาโณ (มนัสธีระบุตร)
พินิจ แกล้วเกษตรกรณ์
Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม
2025-04-20
2025-04-20
12 1
1
14
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ ตำบลวังแสง อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/280297
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ 2) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ และ 3) ส่งเสริมกระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี (Mixed Methods) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ผู้สูงอายุ จำนวน 127 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเบื้องต้น ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์แบบอุปนัย (Inductive Analysis) โดยจำแนกและจัดกลุ่มข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และนำเสนอผลการวิเคราะห์ในเชิงพรรณนา<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. ศึกษาสภาพสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.58, S.D. = 0.12) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ สุขภาวะทางปัญญา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.66, S.D. = 0.29) รองลงมาคือ สุขภาวะทางกาย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.57, S.D. = 0.23) สุขภาวะทางจิตใจ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.56, S.D. = 0.26) และสุขภาวะทางสังคม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.52, S.D. = 0.25)<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. พัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ พบว่า ดำเนินการผ่าน 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) กิจกรรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุ 2) กิจกรรมพัฒนาตนเองของผู้สูงอายุ 3) กิจกรรมเสริมทักษะชีวิตเชิงสร้างสรรค์ผู้สูงอายุ 4) กิจกรรมกลุ่มร่วมคิด ร่วมทำและพัฒนาเครือข่ายบริการผู้สูงอายุ<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. ส่งเสริมกระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ สามารถดำเนินการผ่าน 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1) การจัดให้ผู้สูงอายุมีความรู้และเข้าใจเรื่องสุขภาพและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง 2) การจัดให้มีการซักถาม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 3) กระบวนการเรียนรู้การจัดทำโครงการสนองกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ 4) กระบวนการปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตผู้สูงอายุตามหลักวิถีพุทธ และ 5) การประเมินผลและปรับปรุงแนวทาง</span></p>
ศิลป์ ชื่นนิรันดร์
พัชรี ศิลารัตน์
คะนอง ปาลิภัทรางกูร
Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม
2025-04-21
2025-04-21
12 1
15
32
-
การจัดสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/280015
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับในการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร 2) เปรียบเทียบการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร จำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 1,365 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 310 คน โดยใช้สูตรในการคำนวณของทาโร ยามาเน่ ในการสุ่มตัวอย่างนี้ให้มีความคาดเคลื่อนได้ไม่เกินร้อยละ 5 หรือ 0.05 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ0.95 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย Independent Sample t-test และเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของกลุ่มตัวอย่างที่มากกว่า 2 กลุ่มด้วย One-Way ANOVA<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. การจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.98, S.D. = 0.09) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อคำถาม โดยอันดับมากที่สุดคือ ด้านสุขภาพอนามัยและนันทนาการ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.24, S.D. = 0.12) อันดับที่ 2 คือ ด้านที่อยู่อาศัย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.00, S.D. = 0.05) อันดับที่ 3 ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =2.88, S.D. =0.24) และระดับคะแนนต่ำสุด คือ ด้านการศึกษา (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.81, S.D. = 0.23) ตามลำดับ<br /></span>2. เปรียบเทียบการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบล อำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ในด้านเพศ ด้านอายุ ด้านระดับการศึกษา ด้านอาชีพ และด้านสถานภาพที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นที่ไม่แตกต่างกัน ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ไกรฤกษ์ ทับไกร
ราเชนทร์ นพณัฐวงศกร
Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม
2025-04-21
2025-04-21
12 1
33
46
-
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายในมุมมองของผู้ตรวจสอบภายใน
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/279999
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายในตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ ช่วงอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ และตำแหน่งงาน และ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายใน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรในการวิจัย ได้แก่ ผู้ตรวจสอบภายในที่อยู่ในกลุ่ม Social Media จำนวน 12,000 คน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ตรวจสอบภายใน จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถาม (Google Form) ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.95 (Cronbach’s Alpha) สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) พร้อม F-test และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายใน<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผู้ตรวจสอบภายในที่มีเพศ ช่วงอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ด้านการตรวจสอบภายใน และตำแหน่งงานในปัจจุบัน มีผลต่อประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายในแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายใน ได้แก่ การสนับสนุนของผู้บริหาร ความร่วมมือของผู้รับการตรวจสอบ ทักษะของผู้ตรวจสอบภายใน ความเป็นอิสระของผู้ตรวจสอบภายใน และการติดตามและประเมินผล โดยปัจจัยเหล่านี้ สามารถอธิบายความแปรปรวนของประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายในโดยรวม ได้ร้อยละ 49.7 (Adjusted R² = 0.497) โดยเฉพาะในด้านคุณภาพที่สามารถอธิบายความแปรปรวนได้สูงสุดถึงร้อยละ 52.5 (Adjusted R² = 0.525) ในขณะที่ด้านปริมาณงาน เวลา และค่าใช้จ่าย มีการอธิบายความแปรปรวน ที่ร้อยละ 25.1, 53.3 และ 16.6 ตามลำดับ</span></p>
พรสวรรค์ เกษนาค
ธีรเดช สนองทวีพร
สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล
Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม
2025-04-21
2025-04-21
12 1
47
60
-
ปัจจัยส่วนบุคคลและกลยุทธ์ขององค์กรที่มีผลต่อสมรรถนะพนักงานขายไอทีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/280642
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อสมรรถนะของพนักงานขายไอทีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษากลยุทธ์ขององค์กรที่ส่งผลต่อสมรรถนะของพนักงานขายไอทีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พนักงานขายไอทีที่อยู่ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 300 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression analysis)<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลและกลยุทธ์ขององค์กรที่มีผลต่อสมรรถนะพนักงานขายไอทีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประสบการณ์การทำงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01 และ .05<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. กลยุทธ์ขององค์กรพนักงานขายไอทีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครโดยรวม ได้แก่ 1) ด้านพันธกิจ 2) ด้านวิสัยทัศน์ 3) ด้านค่านิยม มีอิทธิพลทางบวกต่อสมรรถนะของพนักงานขายไอทีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (Adjusted R</span><sup>2</sup><span style="font-size: 0.875rem;"> = .639)</span></p>
ภาคินทร์ เจริญสุข
ธีรเดช สนองทวีพร
สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล
สมยศ อวเกียรติ
Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม
2025-04-26
2025-04-26
12 1
61
74