https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/issue/feed
วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
2025-06-24T00:00:00+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภัทรเวช ฟุ้งเฟื่อง
bhathravej@yahoo.com
Open Journal Systems
<p>วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นวารสารทางวิชาการเพื่อส่งเสริม สนับสนุน ให้นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และนักวิชาการทั่วไป ได้เผยแพร่บทความทางวิชาการ และบทความจากผลงานวิจัยในศาสตร์ทางด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (Arts and Humanities) ด้านบริหารธุรกิจ การจัดการ และการบัญชี (Business, Management and Accounting) ด้านสังคมศาสตร์ (Social Sciences)</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/282197
การขยายความหมายเชิงอุปลักษณ์มโนทัศน์ของคำกริยา ‘나다’ กรณีเปรียบเทียบการแสดงอารมณ์โกรธ : 화가 나다 และ 열을 받다
2025-04-04T11:03:33+07:00
ชุลีวรรณ ไหลเจริญ
ployhaneul@gmail.com
<p>การศึกษาในบทความนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ความหมายเชิงอุปลักษณ์ของคำกริยา “나다” เมื่อใช้ร่วมกับอุปลักษณ์ “ไฟ” และ “ความร้อน” โดยเฉพาะในบริบทการแสดงอารมณ์โกรธ เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการรับรู้และการแสดงออกทางอารมณ์ในภาษาเกาหลี การใช้คำกริยา “나다” ในภาษาเกาหลีแสดงถึงการขยายความหมายที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ทางกายภาพและอารมณ์ เช่น การเกิดขึ้นภายในและการแสดงออกจากภายนอก โดยใช้แนวคิดของอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์เพื่ออธิบายการเกิดอารมณ์โกรธในลักษณะที่แสดงถึงของเหลวที่บรรจุภายในร่างกายหรือจิตใจและอาจล้นออกมาเมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ทั้งนี้ การใช้กลุ่มคำ “화가 나다” และ “열을 받다” ยังสะท้อนถึงความแตกต่างในการแสดงอารมณ์โกรธในบริบททางวัฒนธรรมเกาหลีที่จำแนกระหว่างกระบวนการของการเกิดอารมณ์ภายในและการถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก</p> <p>นอกจากนี้ บทความยังอธิบายถึงบทบาทของทฤษฎีอุปลักษณ์ในทฤษฎีภาษาศาสตร์ปริชาน ซึ่งช่วยให้เข้าใจถึงการใช้ภาษาในการสะท้อนความคิดและประสบการณ์ของมนุษย์ในแง่ของการรับรู้และการแสดงออกทางอารมณ์ โดยผ่านการใช้รูปแบบอุปลักษณ์ต่าง ๆ เช่น อุปลักษณ์ในรูปแบบของภาชนะและโครงร่างภาพ เพื่ออธิบายถึงการเข้าใจอารมณ์โกรธผ่านการเปรียบเทียบกับไฟและความร้อน การศึกษานี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงการรับรู้อารมณ์ในภาษาต่าง ๆ และความเชื่อมโยงระหว่างการแสดงออกทางภาษาและประสบการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงการรับรู้ทางจิตใจของผู้พูดในภาษาเกาหลี</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281795
มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองวิชาชีพนักเต้นในประเทศไทย : ศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศ
2025-05-22T18:30:47+07:00
ธนันท์พัชร อัศวเสมาชัย
tananpach.as@bsru.ac.th
<p>การเต้นเป็นศิลปะที่มีบทบาทสำคัญต่อวัฒนธรรมและเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตามนักเต้นในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายด้านกฎหมายและมาตรฐานวิชาชีพ บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายและมาตรฐานวิชาชีพด้านการเต้นระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ ประเทศออสเตรเลีย และประเทศฝรั่งเศส กับประเทศไทย ผ่านการศึกษากฎหมาย มาตรฐานวิชาชีพ และกรณีศึกษา โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ปัญหาด้านค่าตอบแทนแรงงาน สิทธิประโยชน์ทางสังคม และการคุ้มครองลิขสิทธิ์ท่าเต้น ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วมีมาตรฐานการกำกับดูแลด้านค่าตอบแทน เวลาทำงาน และสวัสดิการที่ชัดเจน รวมถึงการคุ้มครองลิขสิทธิ์ท่าเต้นอย่างเป็นระบบ ในขณะที่ประเทศไทยยังขาดมาตรการที่ครอบคลุมสำหรับนักเต้นมืออาชีพ บทความนี้จึงเสนอแนวทางในการพัฒนากฎหมายและมาตรฐานวิชาชีพด้านการเต้นในประเทศไทย เช่น การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ การสร้างระบบประกันสังคมสำหรับนักเต้น และการปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อคุ้มครองท่าเต้นอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/280691
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
2025-04-10T15:49:57+07:00
กัณญาณัฐ เสียงใหญ่
kanyanat.se@bsru.ac.th
สุรศักดิ์ โตประสี
surasak.to@bsru.ac.th
ทชชยา วนนะบวรเดชน์
tatchaya.wa@bsru.ac.th
จารุวรรณ ศิริรัตน์
6563906013@bsru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยของการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (2) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของประชาชน (3) ศึกษาเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของประชาชน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (4) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยการมีส่วนร่วมกับการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของประชาชน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 380 คน การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลในเขตเทศบาลตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในภาพรวมเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาของเทศบาลตำบลในเขตเทศบาลตำบลบ้านโข้ง ในภาพรวมการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก ประชาชนที่มีปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ ด้านอายุ และด้านรายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และด้านระดับการศึกษา ด้านสถานภาพ และด้านอาชีพที่แตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในระดับ 0.05 และปัจจัยการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้านทัศนคติ ด้านผลประโยชน์ ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบล ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281062
ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ความฉลาดทางอารมณ์ และการเห็นคุณค่าในตนเอง ของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยบูรพา
2025-04-10T15:48:27+07:00
วิภาภรณ์ วิเวกวร
vipse28105@gmail.com
กนก พานทอง
kanok1459@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยบูรพา จำแนกตามเพศ และชั้นปี และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถ ในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ความฉลาดทางอารมณ์ และการเห็นคุณค่าในตนเองของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยบูรพา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน 138 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป G*Power และทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ความฉลาดทางอารมณ์ และการเห็นคุณค่าในตนเอง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) การทดสอบค่า t-test สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระต่อกัน F-test ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient: r)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคของนิสิตภาพรวม มีความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคของนิสิต พบว่า เพศ และชั้นปีที่แตกต่างกันส่งผลต่อความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค กับความฉลาดทางอารมณ์ และการเห็นคุณค่าในตนเอง มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281079
อุปลักษณ์คุณธรรมจริยธรรมในนิตยสารจำขึ้นใจของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
2025-04-08T08:59:27+07:00
ยมลภัทร ภัทรคุปต์
yamonpat@live.uru.ac.th
<p>การวิจัยนี้ศึกษาการใช้อุปลักษณ์คุณธรรมและจริยธรรมในนิตยสาร <em>จำขึ้นใจ</em> โดยวิเคราะห์จากเนื้อหาของวารสารที่เผยแพร่ในระหว่างปี พ.ศ. 2556-2560 รวมทั้งหมด 24 ฉบับ เพื่อวิเคราะห์อุปลักษณ์ในวารสารตามแนวคิดทฤษฎีมโนอุปลักษณ์ (Conceptual Metaphor Theory) โดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาคือการศึกษาถ้อยคำอุปลักษณ์ที่สะท้อนมโนทัศน์เรื่องคุณธรรมจริยธรรมที่ปรากฏในนิตยสารจำขึ้นใจและเพื่อศึกษาหน้าที่ของอุปลักษณ์คุณธรรมจริยธรรมดังกล่าว ผลการศึกษาพบว่าอุปลักษณ์มีบทบาทสำคัญในการอธิบายแนวคิดนามธรรมของคุณธรรมและจริยธรรมให้เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความเข้าใจและมุมมองใหม่ให้ผู้อ่าน พบมโนอุปลักษณ์คุณธรรมจริยธรรม 12 มโนอุปลักษณ์ ได้แก่ [คุณธรรมจริยธรรมคือวัตถุสิ่งของ] [คุณธรรมจริยธรรมคือพืชพรรณ/ต้นไม้] [คุณธรรมจริยธรรมคือสงคราม/การต่อสู้] [คุณธรรมจริยธรรมคือเส้นทาง] [คุณธรรมจริยธรรมคือเครื่องมือ] [คุณธรรมจริยธรรมคือผู้มีอำนาจ] [คุณธรรมจริยธรรมคือรากฐานของสิ่งก่อสร้าง] [คุณธรรมจริยธรรมคือสิ่งมีค่า] [คุณธรรมจริยธรรมคือพลังงาน] [คุณธรรมจริยธรรมคือการขึ้น] [คุณธรรมจริยธรรมคือความสะอาด] และ [คุณธรรมจริยธรรมคือวัคซีนป้องกันโรค] หน้าที่หลักของมโนอุปลักษณ์คือการถ่ายทอดแนวคิดและส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อ่าน ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าการใช้อุปลักษณ์ในนิตยสารมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมในสังคมไทย</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281160
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงานของพนักงานบัญชีบริษัทเอกชนในจังหวัดยะลา
2025-04-04T13:00:57+07:00
เพ็ญนภา เกื้อเกตุ
pennapa.k@yru.ac.th
จารุชา สินทวี
tanyanee.s@yru.ac.th
อรวรรณ กมล
orawan.k@yru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงานของพนักงานบัญชีบริษัทเอกชนในจังหวัดยะลา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ พนักงานบัญชีที่ปฏิบัติงานในบริษัทเอกชนจำกัด จังหวัดยะลา จำนวน 171 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงานของพนักงานบัญชีบริษัทเอกชนในจังหวัดยะลา มี 4 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติ ด้านความก้าวหน้าในอาชีพ ด้านบรรยากาศในการปฏิบัติงาน และด้านความผันผวนทางเศรษฐกิจ และมีเพียง 1 ปัจจัย คือ ด้านการดำเนินชีวิตและครอบครัว ไม่ส่งผลกระทบต่อความเครียดในการปฏิบัติงาน</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281873
การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
2025-04-04T16:19:50+07:00
ปานฟ้า แถววงษ์
teay28240@gmail.com
สุภัชฌาน์ ศรีเอี่ยม
Supatcha@vru.ac.th
กันต์ฤทัย คลังพหล
Kanreutai@vru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา และ 2. ระดับความต้องการจำเป็นการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี จำนวน 196 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิธีการวิเคราะห์ PNI ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสภาพปัจจุบันของการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางและระดับสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2. ระดับ ความต้องการจำเป็นของการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี พบว่า ลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นมากที่สุด คือ ด้านการบริหารทรัพยากรวัสดุ อุปกรณ์</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/282602
ภาษากับอัตลักษณ์ของกลุ่มแร็ปเปอร์ไทย: กรณีศึกษารายการ THE RAPPER
2025-04-08T09:04:25+07:00
นภสร ตั้งวิบูลยกิจ
naphasorn.t@chula.ac.th
<p>ในช่วงเวลาที่เพลงแร็ปและแร็ปเปอร์กลับเข้ามาอยู่ในกระแสนิยมของคนในสังคมไทยอีกครั้ง กลุ่มแร็ปเปอร์ไทยได้มีการใช้ภาษาที่น่าสนใจและเป็นส่วนสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของตน บทความวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีทางภาษาที่ใช้นำเสนออัตลักษณ์ของกลุ่มแร็ปเปอร์ไทยในรายการ THE RAPPER เก็บข้อมูลจากรายการ THE RAPPER ปีที่ 1 ตอนที่ 1-6 ออกอากาศทางช่อง Workpoint 23 ทั้งในช่วงการสัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขัน เพลงแร็ปของผู้เข้าแข่งขัน และการแสดงความคิดเห็นของกรรมการ ผลการศึกษาพบว่า กลวิธีทางภาษาที่กลุ่มแร็ปเปอร์ไทยในรายการ THE RAPPER ใช้นำเสนออัตลักษณ์ของตน มี 6 กลวิธี ได้แก่ 1. การตั้งชื่อในวงการ หรือ “เอเคเอ” 2. การใช้ศัพท์เฉพาะวงการ 3. การใช้คำหรือวลีที่มีความหมายเชิงบวก 4. การกล่าวถึงคำต้องห้าม 5. การใช้ภาษาอังกฤษ และ 6. การปฏิเสธความเชื่อที่มีต่อแร็ปเปอร์ อัตลักษณ์ที่กลุ่มแร็ปเปอร์ไทยในรายการ THE RAPPER นำเสนอ มี 3 ประเด็น ได้แก่ 1. แร็ปเปอร์ คือ คนที่มีวิถีเฉพาะของตน 2. แร็ปเปอร์ คือ คนที่มีความฝันและความพยายาม และ 3. แร็ปเปอร์ คือ นักรัก อัตลักษณ์ของกลุ่มแร็ปเปอร์ไทยที่แสดงผ่านรายการ THE RAPPER แสดงให้เห็นความพยายามในการนิยามความหมายของตัวตนของกลุ่มแร็ปเปอร์ไทย และความพยายามในการนำเสนออัตลักษณ์ดังกล่าวไปยังคนกลุ่มอื่นในสังคม ให้ได้รับรู้ตัวตน ความคิด และทัศนคติของพวกตน</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281921
ผลการประเมินและการติดตามผลการใช้หลักสูตร Cambridge ของหลักสูตรนานาชาติ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ตามรูปแบบการประเมินหลักสูตรซิปป์ (CIPP Model)
2025-04-04T11:33:55+07:00
วรพงษ์ แสงประเสริฐ
worapong.sa@spip.in.th
<p>งานวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจโดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยทั้งหมด 4 ประเด็น ได้แก่ 1. เพื่อประเมินและติดตามผลการใช้หลักสูตร Cambridge ของหลักสูตรนานาชาติ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ด้านบริบท 2. เพื่อประเมินและติดตามผลการใช้หลักสูตร Cambridge ของหลักสูตรนานาชาติ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ด้านปัจจัยนำเข้า 3. เพื่อประเมินและติดตามผลการใช้หลักสูตร Cambridge ของหลักสูตรนานาชาติ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ด้านกระบวนการ และ <br />4. เพื่อประเมินและติดตามผลการใช้หลักสูตร Cambridge ของหลักสูตรนานาชาติ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ด้านผลผลิต ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งประกอบด้วย นักเรียนปัจจุบัน นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาและอาจารย์ประจำหลักสูตรใช้เครื่องมือในการวิจัยคือ แบบสอบถามประเมินหลักสูตร Cambridge ลักษณะมาตรประมาณค่า 5 ระดับและแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่มด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลการประเมินหลักสูตรโดยภาพรวมของนักเรียนปัจจุบันอยู่ในระดับมาก ผลการประเมินหลักสูตรโดยภาพรวมของนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาแล้วอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินหลักสูตรโดยภาพรวมของอาจารย์ประจำหลักสูตรอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนการประเมินรายด้านในด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้าด้านกระบวนการและด้านผลผลิตของนักเรียนปัจจุบันและนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว อยู่ในระดับมาก ส่วนอาจารย์ประจำหลักสูตรมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/282801
คราวด์ซอร์สซิ่งในบริบทงานวิจัยด้านการสื่อสารไทย
2025-04-04T15:42:38+07:00
กุลธิดา สายพรหม
kultida.s@rmutp.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและรวบรวมประเด็นศึกษา แนวคิด ทฤษฎี และระเบียบวิธีวิจัยที่ปรากฏในงานวิจัยด้านการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับคราวด์ซอร์สซิ่งของไทย รวมถึงการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อค้นพบที่ปรากฏในงานวิจัยด้านการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับคราวด์ซอร์สซิ่งของไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เอกสารจากบทความวิจัย และวิทยานิพนธ์ด้านนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชนที่เผยแพร่ระหว่าง พ.ศ. 2549-2566 โดยกำหนดขอบเขตเฉพาะบทความวิจัยที่มีพิชญพิจารณ์ (Peer-review) ส่วนวิทยานิพนธ์มีฉบับเต็มในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ของไทย และฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ของสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ทั้งปริญญาโทและปริญญาเอก ด้านนิเทศศาสตร์หรือสื่อสารมวลชน จำนวนทั้งหมด 10 เรื่อง</p> <p>ผลการศึกษาข้อมูลเชิงปริมาณ พบว่า การศึกษาตามองค์ประกอบของคราวด์ซอร์สซิ่ง ด้านเนื้อหาของงานมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านแพลตฟอร์มและผู้ใช้สื่อ ทั้งนี้จะเห็นว่าประเด็นการศึกษาแต่ละเรื่องนั้น มิได้ศึกษาเพียงองค์ประกอบเดียว แต่เป็นการศึกษาหลายองค์ประกอบร่วมกัน นอกจากนี้การกระจายตัวของแนวคิดทฤษฎี พบว่า มีแนวคิดเกี่ยวกับคราวด์ซอร์สซิ่งมากที่สุด รองลงมาคือ แนวคิดพื้นที่สาธารณะ และแนวคิดวารสารศาสตร์ภาคพลเมือง ด้านการกระจายตัวของระเบียบวิธีวิจัย มีงานวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพมากที่สุด รองลงมาคือ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ และแบบผสมผสาน ผลการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า ประเภทคราวด์ซอร์สซิ่งในบริบทงานวิจัยไทย พบ 2 ประเภท ได้แก่ งานขนาดเล็ก และการระดมทุนจากมวลชน ส่วนข้อค้นพบที่สำคัญได้แก่ แพลตฟอร์มคราวด์ซอร์สซิ่งในบริบทงานวิจัยด้านการสื่อสารไทยยังไม่เป็นพื้นที่สาธารณะโดยสมบูรณ์ งานมีผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ภาพลักษณ์ของผู้ระดมทุนมีผลต่อความตั้งใจให้เงินทุน และปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มคราวด์ซอร์สซิ่งด้านการสื่อสารไทย</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/117-136
The Impact of Leadership Style Perception on Communication Effectiveness, Collaboration, and Goal Achievement in School Teams
2025-05-22T18:21:54+07:00
Chito Mataac
chitocmm@gmail.com
<p>This study aimed to investigate the impact of leadership style perception on communication effectiveness, collaboration frequency, and goal achievement satisfaction within school teams. The sample consisted of faculty and staff across eight academic units at Bansomdejchaopraya Rajabhat University, to assess how perceived leadership behaviors influence team dynamics in an educational setting. This study employed a quantitative approach to collect data from 247 respondents through a validated survey instrument. The data were analyzed using confirmatory factor analysis and structural modeling techniques. The results revealed that leadership style perception significantly and positively influences communication, collaboration, and satisfaction with goal attainment. Furthermore, communication effectiveness was found to enhance collaboration frequency and goal satisfaction, while collaboration also contributed positively to goal achievement. These results highlighted the importance of how leadership was perceived in influencing effective team performance. The study provided practical insights for educational leaders aiming to foster a collaborative and communicative work environment and provides a validated model that can inform future leadership development initiatives. Recommendations for future research include longitudinal studies and applications in diverse educational contexts.</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281911
การศึกษาปัญหาการใช้คำวิเศษณ์บอกระดับมากในภาษาเกาหลีของผู้เรียนชาวไทย
2025-04-04T12:44:47+07:00
ณัฐวรรณ สินาโรจน์
natthawan@go.buu.ac.th
สุนทรี ลาภรุ่งเรือง
soontaree@go.buu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้คำวิเศษณ์บอกระดับมากในภาษาเกาหลีและวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้คำวิเศษณ์บอกระดับมากในภาษาเกาหลีของผู้เรียนชาวไทย จากการศึกษาพบว่า คำวิเศษณ์บอกระดับมากที่เจ้าของภาษานิยมใช้ในปัจจุบันมีจำนวนลดลง รูปคำสั้นลง และเข้าใจง่ายกว่าในอดีต ผู้เรียนชาวไทย มีแนวโน้มใช้คำที่สอดคล้องกับการใช้ของเจ้าของภาษาทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่ยังใช้ในระดับจำกัด และมักใช้เพียงไม่กี่คำในการสื่อความหมาย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากแบบเรียนภาษาเกาหลีสำหรับชาวต่างชาติ โดยจากการตรวจสอบพบว่า ยังไม่มีแบบเรียนใดที่ครอบคลุมคำวิเศษณ์บอกระดับมากที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันอย่างครบถ้วน อีกทั้งไม่มีการอธิบายความแตกต่างของคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน และข้อจำกัดด้านไวยากรณ์ที่ชัดเจน สำหรับปัญหาในการใช้คำวิเศษณ์บอกระดับมากของผู้เรียนชาวไทยจากการวิเคราะห์ข้อมูลคลังข้อมูลภาษาเกาหลี สามารถสรุปได้ 3 ประเด็นหลัก คือ 1) ความผิดพลาดด้านข้อจำกัดทางไวยากรณ์ 2) การใช้คำผิดความหมาย และ 3) การละคำวิเศษณ์ในบริบทที่ควรใช้ ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแนวทางการสอนภาษาเกาหลีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยควรปรับปรุงเนื้อหาแบบเรียนให้สะท้อนการใช้จริงในปัจจุบัน และอธิบายความแตกต่างระหว่างคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมชาติ</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/282027
การพัฒนาชุดการสอนการเขียนย่อความ ประกอบการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2025-04-04T11:18:22+07:00
วชิรวิชญ์ ทินบุตร
65010184011@msu.ac.th
โสภี อุ่นทะยา
d.sopee@yahoo.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนาชุดการสอนการเขียนย่อความ ประกอบการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลการเขียนย่อความโดยใช้ชุดการสอนประกอบการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอนการเขียนย่อความประกอบการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ชุดการสอนการเขียนย่อความประกอบจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC จำนวน 4 ชุด แบบทดสอบวัดความสามารถการเขียนย่อความ และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) ดัชนีประสิทธิผล (E.I.)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดการสอนการเขียนย่อความประกอบการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ 79.5/80.66 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ 2) ดัชนีประสิทธิผลการเขียนย่อความ โดยใช้ชุดการสอนประกอบการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.6040 หรือคิดเป็นร้อยละ 60.40 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้ชุดการสอนการเขียนย่อความประกอบการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค CIRC โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X= 4.83, S.D. = 0.21)</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/282201
การต่อสู้ทางการเมืองและกระบวนการความเป็นประชาธิปไตย ในวรรณกรรมเกาหลีร่วมสมัย
2025-04-04T11:02:35+07:00
นาริฐา สุขประมาณ
naritha@g.swu.ac.th
<p> งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวรรณกรรมเกาหลีที่สะท้อนถึงการต่อสู้ทางการเมืองและกระบวนการความเป็นประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับการพิจารณาบริบททางสังคม โดยกำหนดขอบเขตการศึกษาวรรณกรรมประเภทนวนิยายเกาหลีที่ได้รับการตีพิมพ์หลังปี ค.ศ. 1948 ซึ่งมีเนื้อหาสื่อสารถึงกระบวนการความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการในลักษณะพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> วรรณกรรมเกาหลีในช่วงเวลาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงเงื่อนไขทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ผสานกับอิทธิพลของแนวคิด “ประชาธิปไตย” ที่ปรากฏอย่างหลากหลายในแต่ละช่วงสมัย อันทำให้วรรณกรรมเป็นผลงานที่ได้รับการสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม ตลอดจนแสดงความสัมพันธ์ระหว่างวรรณศิลป์กับสังคมได้อย่างโดดเด่น งานวิจัยนี้คัดเลือกตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับภาษาเกาหลีจำนวน 7 เรื่อง แบ่งตามพัฒนาการทางการเมืองหลังปี ค.ศ. 1948 ได้แก่ (1) ช่วงประชาธิปไตยภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ (ค.ศ. 1948–1987) โดยเน้นศึกษานวนิยายที่สะท้อนเหตุการณ์ปฏิวัติเดือนเมษายน 1960 (April Revolution) และเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยควังจู 1980 (Gwangju Uprising) (2) ช่วงประชาธิปไตยหลังเหตุการณ์การเรียกร้องในเดือนมิถุนายน 1987 และการเปลี่ยนผ่าน (ค.ศ. 1987–2000) โดยศึกษานวนิยายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในเดือนมิถุนายน 1987 (June Democratic Struggle) และ (3) ช่วงประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (ค.ศ. 2000–ปัจจุบัน) โดยศึกษานวนิยายที่ประพันธ์หลังปี ค.ศ. 2000</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยสนับสนุนกระบวนการความเป็นประชาธิปไตยในตัวบทวรรณกรรมประกอบด้วย (1) บทบาทที่เข้มแข็งของกลุ่มเคลื่อนไหวหรือภาคประชาสังคม และ (2) การสร้างจิตสำนึกพลเมืองและการเคารพสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการความเป็นประชาธิปไตยได้แก่ (1) การแทรกแซงทางการเมืองโดยกองทัพ (2) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ทางการเมือง และ (3) การละเมิดสิทธิพลเมือง ทั้งนี้ จากการพิจารณาเนื้อหาในนวนิยายแต่ละช่วงเวลา พบว่านักเขียนได้ถ่ายทอดพฤติกรรมของตัวละครผ่านบทสนทนา ความคิด และการกระทำ อันสะท้อนวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย ตลอดจนแสดงถึงการให้ความเคารพในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวอย่างบางส่วนที่บ่งชี้ถึงความเหลื่อมล้ำและก่อให้เกิดสำนึกประชาธิปไตยในสังคมเกาหลีได้อย่างเป็นรูปธรรม</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/282185
การแปลคำบุรุษสรรพนามที่หนึ่งและที่สองในนวนิยายเยาวชนเรื่อง ฟ้าหลังฝน สดใสเสมอ ของกงแต็ส เดอ เซกูร์
2025-04-08T15:10:14+07:00
ภูริตา แสนคำ
puritasrihaset@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการแปลคำบุรุษสรรพนามที่หนึ่ง และที่สองในวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง <em>ฟ้าหลังฝน สดใสเสมอ</em> ของกงแต็ส เดอ เซกูร์ (Comtesse de Ségur) โดยผู้วิจัยนำทฤษฎีการแปลแบบยึดความหมายจากสถาบันชั้นสูงด้านการล่ามและการแปล (ESIT) แห่งมหาวิทยาลัยปารีส 3 ซึ่งมีหลักการสำคัญ 3 ขั้นตอน ได้แก่ การทำความเข้าใจบทต้นฉบับ การผละออกจากโครงสร้างภาษาต้นฉบับ และการถ่ายทอดความหมายในภาษาปลายทาง มาเป็นแนวทางในการแปลเพื่อให้บทแปลยังคงสาระและอรรถรสที่ผู้เขียนต้องการสื่อในบทต้นฉบับและไม่ให้ผิดเพี้ยน อีกทั้งทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจเทียบเท่ากับผู้ที่อ่านบทต้นฉบับ ในการแปลคำบุรุษสรรพนามนั้น ผู้วิจัยพบว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ของตัวละครอย่างถูกต้องคือ การคำนึงถึงบริบทแวดล้อมของคำ โดยผู้วิจัยต้องคำนึงถึงเพศของผู้พูด อายุ สถานภาพทางสังคม รวมถึงต้องคำนึงความสัมพันธ์ระหว่างคู่สนทนา</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/285047
การวิเคราะห์การจัดหายุทโธปกรณ์ทางทหารของไทยจากเกาหลีใต้: โอกาสและความท้าทาย
2025-05-28T15:14:58+07:00
วรันต์ภัทร์ กิรณะวัฒน์
waranphat.wk@gmail.com
กมล บุษบรรณ์
butsabankamon@gmail.com
<p>งานวิจัยฉบับนี้ศึกษาการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารของประเทศไทยจากเกาหลีใต้ โดยมุ่งเน้นสองกรณีสำคัญ ได้แก่ เครื่องบินขับไล่และฝึก T-50TH Golden Eagle และเรือฟริเกตชุดเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช งานวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาที่อิทธิพลของการจัดซื้อด้านกลาโหมที่มีต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้ งานวิจัยใช้ข้อมูลจากสมุดปกขาว งานเขียนวิเคราะห์ด้านความมั่นคง และข้อมูลเชิงคุณภาพจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ทฤษฎีการทูตโดยฝ่ายทหาร (Defense Diplomacy) และทฤษฎีแห่งดุลอำนาจ (Balance of Power) ผ่านเครื่องมือ SWOT เพื่อสำรวจประเด็นความร่วมมือสำคัญ เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทหาร การฝึกร่วม และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้ยังพิจารณาถึงความท้าทายที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ปัญหาการใช้งานร่วมกันของระบบยุทโธปกรณ์ และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีที่กำลังขยายตัว ซึ่งมีลักษณะของความร่วมมือในรูปแบบเชิงสถาบัน ความสอดคล้องทางยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานทางทหารในเชิงปฏิบัติ แม้ว่าความร่วมมือนี้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่ก็เปิดโอกาสอย่างมีนัยสำคัญในด้านการฝึกอบรม การพัฒนาทักษะ และการสนับสนุนทางเทคโนโลยี</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/282777
การบูรณาการองค์ความรู้ในระดับอุดมศึกษา ผ่านศิลปะการแสดงเพื่อประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน
2025-04-04T15:20:44+07:00
เพียรพิลาส พิริยาโภคานนท์
piarnpilas.pi@bsru.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัฒนธรรมการศึกษาไทย และโครงสร้างศิลปะการแสดงเพื่อบูรณาการศึกษาในรูปแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ จากนั้นวิเคราะห์ สังเคราะห์ และออกแบบกิจกรรมการบูรณาการองค์ความรู้ด้วยโครงสร้างศิลปะการแสดง เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรรษที่ 21 นอกจากนี้ยังมีการวัดและประเมินผลก่อนและหลังด้วยแบบสอบถามเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เน้นประเด็นเรื่องการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กิจกรรมการบูรณาการองค์ความรู้ด้วยโครงสร้างศิลปะการแสดงเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้เป็นเครื่องมือที่นำมาพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ของนักศึกษาให้มีความเข้มแข็งพร้อมออกสู่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/281504
อิทธิพลของรีวิวออนไลน์ที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริการโรงแรมของนักท่องเที่ยว
2025-04-04T17:49:17+07:00
วสันต์ กานต์วรรัตน์
wasank@siamtechno.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการรีวิวผ่านช่องทางออนไลน์ของนักท่องเที่ยว การเลือกใช้บริการโรงแรมของนักท่องเที่ยว และศึกษาอิทธิพลของการรีวิวผ่านช่องทางออนไลน์ที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริการโรงแรมของนักท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เคยอ่านรีวิวทางออนไลน์ และตัดสินใจเข้าใช้บริการโรงแรมในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับอิทธิพลของการรีวิวสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านสรุปได้ว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ความน่าเชื่อถือของการรีวิว รองลงมาคือ รูปแบบการนำเสนอของการรีวิว และน้อยที่สุดคือ เนื้อหาของการรีวิว ส่วนผลการวิเคราะห์การเลือกใช้บริการโรงแรมของนักท่องเที่ยว พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรมของนักท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อสรุปได้ว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การมีความพอใจกับการตัดสินใจเลือกพักโรงแรมตามข้อมูลที่ได้จากการรีวิว รองลงมาคือ สามารถคำนวณและประเมินค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางที่เหมาะสมกับที่ท่านได้จากการอ่านรีวิว และน้อยที่สุดคือ มีการเตรียมตัวก่อนเข้าพักโรงแรมตามที่ได้รับข้อมูลจากการอ่านรีวิว เช่น เครื่องนุ่งห่มที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติ และอิทธิพลของการรีวิวสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านรูปแบบการนำเสนอของการรีวิว (X<sub>1</sub>) ด้านเนื้อหาของการรีวิว (X<sub>2</sub>) และด้านความน่าเชื่อถือของการรีวิว (X<sub>3</sub>) ส่งผลทางบวกกับการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรมของนักท่องเที่ยว โดยตัวแปรที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรมของนักท่องเที่ยวมากที่สุดได้แก่ ด้านรูปแบบการนำเสนอของการรีวิว รองลงมาคือ ด้านความน่าเชื่อถือของการรีวิว และน้อยที่สุดคือ ด้านเนื้อหาของการรีวิว และมีค่าน้ำหนักความสำคัญปกติเท่ากับ 0.473, 0.220 และ 0.198 ตามลำดับ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/284881
การพัฒนาแบรนด์ SIAM SEASALT: การออกแบบผลิตภัณฑ์ของวิสาหกิจชุมชนบ้านสหกรณ์ หมู่ 3 โคกขาม สู่ภาพลักษณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว
2025-06-13T10:21:35+07:00
พิมพ์พิไล ไทพิทักษ์
pim.thaipitak@gmail.com
พรรณา ศรสงคราม
panna.so@bsru.ac.th
ธนันท์พัชร อัศวเสมาชัย
tananpach.as@bsru.ac.th
มนัสวี พัวตระกูล
manussawee.p@gmail.com
อารยา แสงมหาชัย
iamarayas@hotmail.com
<p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาแบรนด์ “SIAM SEASALT” <br />ของวิสาหกิจชุมชนบ้านสหกรณ์ หมู่ 3 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดยมุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ความบริสุทธิ์ และความเป็นธรรมชาติของเกลือทะเล ภายใต้กรอบแนวคิดการออกแบบเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิม และดำเนินการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความสอดคล้อง ในด้านกราฟิก สี วัสดุ และการสื่อสารแบรนด์ ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์มีความเป็นเอกภาพสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือ สร้างการจดจำ และยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้แนวคิดการออกแบบเพื่ออัตลักษณ์ ความยั่งยืน และการสื่อสารแบรนด์ด้วยองค์ประกอบภาพเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rdibsru/article/view/284274
J-POP หรือ K-POP? ความคลุมเครือของกลุ่มศิลปิน JK-POP ข้อได้เปรียบและภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากตัวตนซึ่งน่าตั้งคำถาม กรณีศึกษาจากกลุ่มศิลปินวง JO1
2025-06-09T10:45:08+07:00
พิชญา เตโชฬาร
shiulingexo@gmail.com
กมล บุษบรรณ์
butsabankamon@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มุ่งค้นคว้าเหตุผลในการก่อตั้งกลุ่มศิลปินรูปแบบใหม่ โดยผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม K-POP และ J-POP โดยปรับให้เข้ากับท้องถิ่น หรือ J(K)-POP ซึ่งหมายถึงกลุ่มศิลปินที่มีสมาชิกส่วนมากเป็นชาวญี่ปุ่น มีฐานหลักในประเทศญี่ปุ่น แต่ผลิตผลงานเพลงในรูปแบบคล้าย K-POP ซึ่งผลิตโดยทีมงานผลิตเพลงของเกาหลี รวมทั้งยังทำกิจกรรมในประเทศเกาหลีใต้เป็นครั้งคราว โดยนำเสนอคำถามวิจัยหลักว่า: ปัจจัยใดที่ผลักดันให้บริษัทตัดสินใจเปิดตัววงดนตรีในรูปแบบดังกล่าว แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษา โดยวิเคราะห์จากสื่อข่าวสาร ความเห็นของสาธารณชน ความเห็นของกลุ่มแฟนคลับ บทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง และเนื้อหาที่เผยแพร่โดยกลุ่มศิลปินโดยตรง โดยมีกลุ่มศิลปินวง JO1 เป็นกรณีศึกษา ในฐานะกลุ่มศิลปินที่ใช้กลยุทธ์การผสมผสานระหว่าง J-POP และ K-POP และเป็นที่รู้จักดีทั้งในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ การศึกษานี้ค้นพบว่าข้อได้เปรียบหลักจากการเดบิวต์กลุ่มศิลปิน K-POP ในรูปแบบการปรับให้เข้ากับท้องถิ่นญี่ปุ่นนั้นได้แก่ อภิสิทธิ์ในการได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปินญี่ปุ่นโดยชอบธรรม ผู้ซึ่งสามารถแทรกซึมไปยังภาคส่วนต่างๆ ของวงการบันเทิงญี่ปุ่นได้หลากหลายและง่ายกว่าศิลปินเกาหลีอื่นๆ โดยส่วนใหญ่ อันนำมาสู่รายได้มหาศาลจากสถานะของตลาดเพลงญี่ปุ่นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ในอีกแง่หนึ่ง ศิลปินกลุ่มดังกล่าวยังสามารถดำเนินกิจกรรมในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเกาหลี และดึงดูดเหล่าแฟนทั่วโลกด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทคู่ค้าในเกาหลี รวมถึงการแสดงและการผลิตคุณภาพสูงอันเป็นผลจากคุณสมบัติเด่นอันแข็งแกร่งของ K-POP อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของศิลปินกลุ่มดังกล่าวอาจก่อให้เกิดกระแสต่อต้านจากกลุ่มผู้รับสารที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งแสดงออกผ่านความคิดเห็นเชิงเกลียดชัง หรือการแสดงความไม่พอใจต่อสื่อสาธารณะ ถึงกระนั้น เนื่องด้วยเหล่าแฟนคลับไอดอลส่วนใหญ่มักแยกตัวออกจากประเด็นทางด้านการเมือง รวมทั้งวงการ K-POP ที่กำลังเปิดกว้าง หลากหลาย และยอมรับศิลปินต่างชาติมากขึ้น กระแสต่อต้านเกิดจึงไม่รุนแรงในระดับที่ขัดขวางการทำกิจกรรมของวง และคาดว่าจะลดลงไปตามกาลเวลา</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025