วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการ</span></span></span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">และเทคโนโลยีอีสเทิร์น </span></span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ตามหนังสือสำคัญแสดงการเขียนแจ้งการพิมพ์ตามประกาศการพิมพ์ 2550 เลขที่สศก. </span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ที่ 9 อบ / 07/2562 ขอยกเลิก ISSN ต้นฉบับคือ 1686-7440 (เดิมชื่อ วารสารโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) และขอแจ้งหมายเลข ISSN ใหม่คือ 2673-0618 (ชื่อใหม่วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น) โดยวารสารฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและแลกเปลี่ยนความรู้ของนักวิชาการทั้งภายในและภายนอกประเทศ หลากหลายสาขาวิชา และเพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรและนักวิชาการได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้</span></span></span></span><br /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">กองบรรณาธิการ</span></span></span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">มหาวิทยาลัยการจั</span></span></span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์นพิจารณาบทความตามหลัก</span></span></span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วิชาการ มีระเบียบบริหารคุณ</span></span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ภาพวิชาการเป็นไปตามมาตรฐาน</span></span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">การเผยแพร่ผลงานวิชาการ</span></span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วารสารไทย (Thai-Journal Citation Index Center) โดยผ่านการขั้นตอนการพิจารณาบทความจากคุณ</span></span></span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญและมีความหลากหลาย ซึ่งได้การรับรองคุ</span></span></span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ณภาพของวารสารจาก TCI (กลุ่มที่ 2) ตั้งแต่ปี 2563-2567 โดยมีค่า Thai Journal Impact Factors ปีตั้งแต่ปี 2559 - 2561 มีค่าระดับ 0.028 เพื่อสนับสนุนให้นักวิชาการได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการและเรียนรู้และการเผยแพร่งานตีพิมพ์บทความด้านวิชาการในด้านการศึกษา การบริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ และอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Humanities and Social Sciences) เรื่องที่จะเสนอเพื่อตีพิมพ์ บทความวิชาการ บทความวิจัย บทความและบทวิจารณ์ ที่ตีพิมพ์ในวารสารนี้ต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน ผ่านการพิจารณาคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 3 ท่าน (double blinded) ผู้เขียนต้องอนุญาตให้มีการปรับปรุงความสมบูรณ์และปฏิบัติตามข้อกำหนดของวารสารฯ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับคือ ฉบับที่ 1 (มกราคมถึงมิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคมถึงธันวาคม) และหากมีฉบับเสริม(supplementary) ปีละ 1 ฉบับ ซึ่งเป็นไปตามมาตฐาน TCI</span></span></span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">กองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความต่าง</span></span></span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ๆ ในวารสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่</span></span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">นักวิชาการและผู้ที่สนใจ กองบรรณาธิการมีความมุ่งหวัง</span></span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">เพื่อสร้างสังคมไปสู่</span></span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ปัญญา </span></span></span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">"Imagine Beyond Knowledge" จินตนาการนำความรู้ </span></span></span></span></p> <p> </p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">รองศาสตราจารย์ ดร.วีระศักดิ์ จินารัตน์</span></span></span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">บรรณาธิการ</span></span></span></span></p>
มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
th-TH
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2673-0618
-
การวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัท ยูไนเต็ด เปเปอร์ จำกัด (มหาชน)
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/275919
<p>การวิเคราะห์หลักทรัพย์มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากทำให้ทราบมูลค่าหลักทรัพย์ที่เหมาะสมและนักลงทุนสามารถนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) ศึกษาตัวแปรที่มีผลต่อมูลค่าของหลักทรัพย์ 2) พยากรณ์ผลการดำเนินงาน ฐานะการเงินและอัตราส่วนทางการเงิน 3) พยากรณ์มูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัท ยูไนเต็ด เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) การศึกษาครั้งนี้เก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเทคนิคการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ดัชนีการขายส่งและดัชนีผู้บริโภคประเทศไทยมีความสัมพันธ์เชิงลบต่อรายได้รวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนดัชนีราคาการส่งออกและเวลามีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อรายได้รวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) การพยากรณ์รายได้ ปี พ.ศ. 2567-2571 บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี 3) จากการพยากรณ์มูลค่าหลักทรัพย์ พบว่าอยู่ในช่วง 13.88 – 18.84 บาทต่อหุ้น การที่บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีส่งผลดีต่อบริษัทและนักลงทุน ส่วนราคาต่อหุ้นในตลาดต่ำกว่าที่พยากรณ์ได้ เนื่องจากราคาต่อหุ้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ผลการพยากรณ์อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถลงทุนได้ โดยมีความเสี่ยงต่ำที่ราคาต่อหุ้นจะลดลง เนื่องจากพื้นฐานเดิมของบริษัทมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินค่อนข้างสูง รวมทั้ง ผู้บริหารมีนโยบายในการบริหารการเงินที่เข้มงวด</p>
จิรวัฒน์ พรหมสุวรรณ และนงนภัส แก้วพลอย
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
1
15
-
ทักษะการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/276911
<p>ในสภาพสังคมปัจจุบัน การศึกษาไทยเป็นการศึกษาในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพหรือเสริมสร้างพลังที่มีอยู่ในบุคคล ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นความสามารถทางการบริหารที่ผู้บริหารจำเป็นต้องมีความรู้ ความสามารถในการบริหารสถานศึกษา เพื่อให้ภารกิจบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่วางไว้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน และ 2) เพื่อนำเสนอข้อเสนอการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 134 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน โดยรวมมีทักษะอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ทักษะด้านความคิดรวบยอดเกี่ยวกับงานบริหารวิชาการ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ทักษะด้านเทคนิควิธีเกี่ยวกับงานบริหารงานบุคคล และ 2) ข้อเสนอการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนที่ต้องการพัฒนาเร่งด่วนที่สุด พบว่า (1) ทักษะด้านเทคนิควิธีเกี่ยวกับงานบริหารงานบุคคล และ (2) ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์เกี่ยวกับงานบริหารงานบุคคล อย่างไรก็ตาม ทักษะการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนโดยรวมและรายด้าน มีทักษะการบริหารงานอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารควรส่งเสริมการให้ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารควรมีการกระจายอำนาจ กำหนดโครงสร้างและให้ความสำคัญในการออกคำสั่ง รวมทั้ง ควรส่งเสริมให้ครูปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักสายบังคับบัญชา ใช้จิตวิทยา มีความเป็นธรรมและประเมินผลการปฏิบัติงานตามคุณภาพของงาน </p>
กิติญา มุขสมบัติ และเมธาวี โชติชัยพงศ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
16
33
-
การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในการบริหารงานโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครอุบลราชธานี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/276902
<p>การมีส่วนร่วมของชุมชนมีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาโรงเรียน เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ มีบทบาท กำหนดแนวทางการบริหารจัดการ ร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น มีศักยภาพ สามารถจัดบริการทางการศึกษาได้ตรงกับความต้องการและเกิดประโยชน์ต่อชุมชน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในการบริหารงานโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในการบริหารงานโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 198 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในการบริหารงานโรงเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.77, S.D. = 42) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการประเมินผล ( x̄ = 4.02, S.D. = 53) การมีส่วนร่วมปฏิบัติการ (x̄ = 3.87, S.D. = 58) การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (x̄ = 3.61, S.D. = 34) และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (x̄ = 3.60, S.D. = 39) ตามลำดับ การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในการบริหารงานโรงเรียนอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ เพราะว่าคณะกรรมการชุมชน เป็นบุคคลที่มีความรู้ ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาระหว่างชุมชนกับสถานศึกษา รวมทั้งชุมชนให้ความสำคัญในการจัดการศึกษา จึงเข้ามามีส่วนร่วมกับสถานศึกษาเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนและสถานศึกษา</p>
กชนิภา ดีพร้อม และเมธาวี โชติชัยพงศ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
34
49
-
ปัจจัยเชิงสาเหตุของกลยุทธ์ตราสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ ร้านอาหารในสนามบินดอนเมือง
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/278146
<p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ<strong> </strong>1) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของกลยุทธ์ตราสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านอาหารในสนามบินดอนเมือง และ 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงสาเหตุของกลยุทธ์ตราสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านอาหารในสนามบินดอนเมือง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริโภคที่มีประสบการณ์การใช้บริการร้านอาหารในสนามบินดอนเมืองจำนวน 413 คน โดยใช้แบบสอบถาม ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนมีนาคม 2567 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยกลยุทธ์ตราสินค้าของร้านอาหารในสนามบินดอนเมือง โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านอาหารในสนามบินดอนเมือง โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ชื่อเสียงของร้านอาหารทำให้ตัดสินใจใช้บริการร้านอาหารในสนามบิน อยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยพบความสอดคล้องโมเดลสมการโครงสร้างของกลยุทธ์ตราสินค้าและการตัดสินใจใช้บริการร้านอาหารมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อีกทั้ง ค่า Chi-square (c<sup>2</sup>) มีค่าเท่ากับ 25.060, องศาอิสระ (df) มีค่าเท่ากับ 16, P-value = 0.069, ในขณะที่ c<sup>2</sup>/df เท่ากับ 1.566, GFI มีค่า เท่ากับ 0.987, CFI มีค่าเท่ากับ 0.997, RMR มีค่าเท่ากับ 0.024 และ RMSEA มีค่าเท่ากับ 0.037 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่าปัจจัยกลยุทธ์ตราสินค้ามีอิทธิพลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการอาหารในสนามบินดอนเมืองอย่างมีระดับนัยสำคัญ นอกจากนี้ ปัจจัยกลยุทธ์ตราสินค้ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการอาหารในสนามบินดอนเมือง แสดงให้เห็นว่าการสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่ง และการใช้ความน่าดึงดูดใจของตราสินค้า สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิมได้ในสภาพธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง</p>
พรพรรณ สมแก้ว และรุจาภา แพ่งเกสร
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
50
68
-
การคัดเลือกแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีความเหมาะสม ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับผู้สูงวัย
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/278560
<p><strong> </strong>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความคาดหวังของผู้สูงวัยที่มีต่อการใช้แพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับผู้สูงวัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ใน อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสนใจในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และต้องการเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 100 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่าแพลตฟอร์ม Meta ได้รับความนิยมสูงสุด จึงควรใช้เป็นช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน เนื่องจากผู้สูงวัยส่วนใหญ่หาข้อมูลหรือซื้อสินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชุมชนจากแพลตฟอร์ม Meta มากที่สุด ซึ่งเหตุผลหลักที่ผู้สูงวัยเลือกใช้ Meta เนื่องจากแพลตฟอร์มนี้มีความคุ้นเคยและใช้งานได้ง่าย อีกทั้ง ยังมีฟีเจอร์ที่ส่งเสริมการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างเพจธุรกิจ การไลฟ์สดและระบบการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่เป็นกันเอง ซึ่งทำให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้อย่างดี นอกจากนี้ การที่ผู้สูงวัยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน นอกจากจะเป็นการพัฒนาช่องทางการตลาดเพื่อเพิ่มรายได้และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืนแล้ว ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้า เพิ่มยอดขายสินค้าได้ ขยายตลาดใหม่และสร้างการรับรู้สินค้าในตลาดได้อีกด้วย</p>
เอกราช ธรรมษา ปิยะวัฒน์ อัฒจักร ปิยภัทร โกษาพันธุ์ รัตน์ชฎาพร ศรีสุระ กันยากร บุพะกิจ
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
69
78
-
การใช้เกมทางภาษาเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/278962
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยการใช้เกมทางภาษา และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมทางภาษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประชากรในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบ่ออิฐ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการสอนซึ่งใช้เกมทางภาษา 5 แผน ข้อสอบวัดผลคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยเกมทางภาษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (µ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) และค่าความเหมาะสม (<strong>IOC</strong>)</p> <p> จากการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นผ่านการใช้เกม พบว่า คะแนนสอบหลังเรียน (µ = 16.27, σ = 3.01) สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน (µ = 8.19, σ = 1.64) และมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.38 2) ผลความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนด้วยเกมทางภาษาอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.85, σ = 0.40)</p>
ชุตินธร สุวรรณมณี
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
93
104
-
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสตรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279350
<p>ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสตรีสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 วัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสตรี 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสตรี จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสตรี แบบสอบถามที่ความเชื่อมั่น 0.960 ตัวอย่างเป็นข้าราชการครู 287 คน ใช้การสุ่มอย่างง่าย ร่วมกับการแบบสอบถามเชิงลึกจากข้าราชการครู จำนวน 5 คน เป็นการการเลือกแบบเจาะจง สถิติที่ใช้คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ค่าเอฟและวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ภาวะผู้นำของผู้บริหาราสตรี แยกตามเพศและประสบการณ์ในการทำงานให้ผลแตกต่างกัน .01 แบ่งประเภทตามขนาดสถานศึกษาโดยรวมไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรี พบว่า (1) ด้านการมีความคิดริเริ่ม ควรมีการจัดทำแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจน (2) ด้านการรู้จักปรับปรุงแก้ไขควรเป็นที่พึ่งให้ข้าราชการและยอมรับความคิดใหม่เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติ (3) ด้านการยอมรับนับถือ จัดให้มีการประชุมวางแผนการดำเนินงานและมอบหมายงานให้ตรงความสามารถของข้าราชการ (4) ด้านการให้ความช่วยเหลือ ควรมีความเห็นใจและเข้าใจปัญหาของข้าราชการครูแต่ละคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (5) ด้านการโน้มน้าวจิตใจ คือมีความเป็นกันเองต่อข้าราชการครู (6) ด้านการประสานงาน ให้เข้าร่วมงานของชุมชนอย่างสม่ำเสมอ และ (7) ด้านการเข้าสังคมควรวางตนให้มีความน่าเชื่อถือเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาและชุมชน</p>
จันทร์อุษา วงศ์โยธา, ชูชีพ ประทุมเวียง และชวนคิด มะเสนะ
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
105
116
-
การประเมินโครงการส่งเสริมโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279553
<p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงประเมินโครงการ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินโครงการส่งเสริมโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร โดยใช้รูปแบบ CIPPIEST ในด้าน 1) บริบท 2) ปัจจัยนำเข้า 3) กระบวนการ และ 4) ผลผลิต ได้แก่ 4.1) ผลกระทบ 4.2) ประสิทธิผล 4.3) ความยั่งยืน และ 4.4) การถ่ายทอดส่งต่อ กลุ่มเป้าหมาย มีจำนวนทั้งหมด 237 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร 3 คน ครู 6 คน คณะกรรมการสถานศึกษา 9 คน นักเรียน 109 คน และผู้ปกครอง 109 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ประเภท 1) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อโครงการสำหรับผู้บริหาร ครูผู้รับผิดชอบโครงการ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครองและนักเรียน ทุกฉบับมีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.80 - 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น 0.80 ขึ้นไป 2) แบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นที่มีต่อโครงการ สำหรับผู้บริหาร ครูผู้รับผิดชอบโครงการ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง นักเรียน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.80 - 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์เชิงเนื้อหารวมทั้งการเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า โครงการมีผลการประเมินในภาพรวม 1) ด้านบริบท มีค่าเฉลี่ย 4.67 อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ด้านปัจจัยนำเข้า มีค่าเฉลี่ย 4.47 อยู่ในระดับมาก 3) ด้านกระบวนการ มีค่าเฉลี่ย 4.72 อยู่ในระดับมากที่สุด และ 4) ด้านผลผลิต ได้แก่ ผลกระทบ มีค่าเฉลี่ย 4.59 อยู่ในระดับมากที่สุด, ประสิทธิผล มีค่าเฉลี่ย 4.59 อยู่ในระดับมากที่สุด, ความยั่งยืนมีค่าเฉลี่ย 4.52 อยู่ในระดับมากที่สุด และการถ่ายทอดส่งต่อ มีค่าเฉลี่ย 4.53 อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินทุกองค์ประกอบ นอกจากนี้ พบว่านักเรียนได้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ให้สูงขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ จากการใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียนทางด้านวิชาการ</p>
พันธวัธน์ เพชรศิวานนท์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
117
129
-
อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความพึงพอใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279730
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> เนื่องจากแรงจูงใจในการทำงานมีผลต่อความรู้สึกพึงพอใจในงานของครูจึงมีความจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้ ซึ่งด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามไปรวบรวมความเห็นครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 387 คนและนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่า แนวทางสำหรับนำไปสร้างแรงจูงใจในการทำงานแก่ครูอย่างน้อย 2 แนวทางคือแนวทางการสร้างแรงจูงใจภายในกับแนวทางการสร้างแรงจูงใจภายใน โดยทั้งสองแนวทางมีสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ร่วมกันที่ .58 กับมีความคลาดเคลื่อนสะสมน้อยเพียง .32 แต่มีความสามารถในการอธิบายความแปรปรวนร่วมกันได้มากถึง 266.06 (Sig. 000) องค์ประกอบของแรงจูงใจภายนอกที่ประกอบด้วยการพัฒนาบรรยากาศทำงาน .65 รองลงมาเป็นอิทธิพลของความก้าวหน้า .58 ผลประโยชน์ที่ได้รับ .29 เงื่อนไขที่ทำงาน .23 ความเป็นอิสระ .22 และการจดจำจากภายนอกมีอิทธิพลในเชิงลบที่ -.28</p>
สุนทร กุมรีจิต, วีระวัฒน์ พิณโท, อุษณี แสงสุข, ทัศนีย์ แก้วงาม, และสำเร็จ ธงศรี
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
143
153
-
การการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคของยาหม่องสมุนไพร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279795
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคยาหม่องสมุนไพร แรงจูงใจในการซื้อและเสนอแนวทางพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดและผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคจำนวน 400 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่ายาหม่องชนิดขี้ผึ้งเป็นที่นิยมสูงสุด โดยใช้บรรจุภัณฑ์แบบขวดแก้วหรือขวดพลาสติก การใช้งานส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบการทา ผู้บริโภคชอบกลิ่นเปเปอร์มิ้นต์และมักซื้อเพื่อใช้เอง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อได้แก่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ราคาและความเชื่อมั่นในแบรนด์ ส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อด้วยตนเอง สถานที่ซื้อนิยมคือร้านสะดวกซื้อและอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลหลัก แรงจูงใจสำคัญคือคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ (ปัจจัยดึงดูด) และความจำเป็นด้านสุขภาพ (ปัจจัยผลักดัน) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย งานวิจัยนี้จึงนำเสนอแนวทางสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน</p> <p><strong> </strong></p>
อภิสิทธิ์ ทองดี และจินณพัษ โดมินิค
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
154
162
-
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279729
<p>คุณภาพของการจัดการศึกษาเป็นตัวบ่งชี้สำคัญประการหนึ่ง สำหรับความพร้อมในการเข้าสู่ศตวรรษที่ 21ผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาให้มีอิทธิพลต่อคุณภาพการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ดำเนินการเก็บข้อมูลจากผู้บริหารและครูจำนวน 399 คนและนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลวิจัยพบว่า องค์ประกอบของบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในด้าน การพัฒนาวิชาชีพครู การกำหนดภารกิจสถานศึกษา การนิเทศประเมินผล และการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพการศึกษาที่ระดับคะแนนมาตรฐานที่ .32, .22, .19 และ .19 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบที่ง 4 ของบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาสามารถอธิบายสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่อกันที่ค่า R<sup>2</sup> .41 และมีความคลาดเคลื่อนสะสม .10 มีคำอธิบายความแปรปรวนตัวแปรเหตุที่ค่า F = 69.80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .000 จึงอาจสรุปได้ว่า การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาต้องเน้นบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาเป็นสำคัญ</p>
อุษณี แสงสุข, พิศิษฐ ขาวจันทร์, ทัศนีย์ แก้วงาม, สำเร็จ ธงศรี และศุภกิจ จันทร์ตรี
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
163
174
-
ความสำคัญของคุณภาพการบริการที่มีต่อภาพลักษณ์และความภักดีต่อโรงพยาบาลเอกชน
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279988
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสำคัญของคุณภาพการบริการที่มีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และความภักดีของโรงพยาบาลเอกชนและศึกษาระดับปัจจัยของคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และความภักดีของโรงพยาบาลเอกชน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้รับบริการของโรงพยาบาลเอกชน จำนวน 200 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์สมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความน่าเชื่อถือ การตอบสนอง การสร้างความมั่นใจและการดูแลเอาใจใส่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และความภักดีของโรงพยาบาลเอกชน ขณะที่ รูปลักษณ์ทางกายภาพที่จับต้องได้ส่งผลต่อความภักดี แต่ไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในโรงพยาบาลเอกชน นอกจากนี้ แต่ละตัวแปรส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และความภักดีไม่เท่ากัน โดยพบว่าปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือ ส่งผลสูงสุดต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และความภักดีของโรงพยาบาลเอกชน ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนควรมุ่งเน้นที่จะสร้างปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือ เพื่อที่จะส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ ของแบรนด์และความภักดี ซึ่งจะทำให้มีผู้รับบริการมาใช้บริการมากขึ้น ตรงตามความคาดหวังของโรงพยาบาลเอกชน</p>
อธิวัฒน์ น้อยประสิทธิ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
175
189
-
ปัจจัยอิทธิพลที่มีผลต่อการทำนายความสำเร็จของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279728
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนอาจต้องอาศัยหลากหลายปัจจัยหากแต่สิ่งสำคัญต้องได้รับการพัฒนาคุณภาพสอดคล้องไปกับสภาพที่เป็นจริงของแต่ละโรงเรียน และด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยได้ไปรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 จำนวน 219 คน และนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่าปัจจัยความสำเร็จด้านความพร้อมของผู้บริหารสถานศึกษามีผลต่อการทำนายคุณภาพการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .00 และมีคะแนนมาตรฐานที่ .45 รวมถึงอิทธิพลพยากรณ์ของการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองนักเรียน .27 กับทักษะการเรียนรู้นักเรียน .22 โดยทั้งสามปัจจัยมีสัมประสิทธิ์ถดถอย R<sup>2</sup> .63 ผลกระทบจากปัจจัยอื่นร้อยละ 37 กับมีความคลาดเคลื่อนสะสม .25 มีความสามารถในการอธิบายความแปรปรวนร่วมกันได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .00 ค่า F = 126,08 Sig. 000 รวมถึงมีผลทดสอบค่า Durbin-Watson ที่ 1.51 แปลผลได้ว่าความคลาดเคลื่อนตัวแปรเหตุเป็นอิสระต่อกัน และจากสมการพยากรณ์นำไปสู่แนวทางสำหรับการพัฒนาปัจจัยความสำเร็จให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาโรงเรียนได้ 3 แนวทางประกอบด้วย 1) แนวทางการพัฒนาความพร้อมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองนักเรียน และ 3) แนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้นักเรียน โดยแต่ละแนวทางมีข้อพึ่งนำไปลงมือปฏิบัติต่างกัน</p>
วีระวัฒน์ พิณโท, สุนทร กุมรีจิต, พิศิษฐ ขาวจันทร์, ศุภกิจ จันทร์ตรี และทัศนีย์ แก้วงาม
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
190
201
-
ทักษะทางดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการจัดการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279726
<p>การจัดการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ศรีสะเกษ ยโสธร จำเป็นต้องอาศัยความรอบรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาทักษะทางดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการจัดการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี ในโรงเรียน ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและครูจำนวน 238 คน และนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถยอพหุคูณแบบ Enter</p> <p>ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า องค์ประกอบทักษะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลในการพยากรณ์การจัดการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในสถานศึกษาของครูได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีเพียงองค์ประกอบคือ ความรอบรู้ด้านคอมพิวเตอร์และสื่อโดยมีคะแนนมาตรฐานที่ -.17 กับมีผลทดสอบ t = -2.22 (Sig. 027) รวมถึง มีสัมประสิทธิ์ถดถอยที่ R<sup>2</sup> = 04 มีค่าแปรปรวนที่ F = 2.78 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (Sig .027) อีกทั้งมีค่า Durbin-Watson =.97 (< 1.50) ผลการวิจัยยืนยันว่า การพัฒนาทักษะด้านความรอบรู้คอมพิวเตอร์และสื่อของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นแนวทางเดียวในการปรับปรุงการจัดการสนับสนุนเทคโนโลยีของโรงเรียน</p>
พิศิษฐ ขาวจันทร์, อุษณีย์ แสงสุข, สุนทร กุมรีจิต, วีระวัฒน์ พิณโท, สำเร็จ ธงศรี และศุภกิจ จันทร์ตรี
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
202
212
-
จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ในการศึกษาปฐมวัย
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/279712
<p>จริยธรรมในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในบริบทการศึกษาปฐมวัย โดยเน้นความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ในการส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาการ และการเล่นของเด็กปฐมวัย ซึ่งปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญในการปรับแต่งเนื้อหา และกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการ และพัฒนาการของเด็กแต่ละบุคคล นอกจากนี้ ปัญญาประดิษฐ์ยังช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้เฉพาะรายบุคคล ช่วยครูในการออกแบบ และวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ รวมถึงพัฒนาทักษะของเด็กในด้านการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาและการทำงานร่วมกัน</p> <p>การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในระดับปฐมวัยจำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นด้านจริยธรรม เช่น ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความยุติธรรมและความยั่งยืน เพื่อป้องกันผลกระทบด้านลบ เช่น ความไม่เท่าเทียมกัน การละเมิดสิทธิของเด็ก และอคติในระบบปัญญาประดิษฐ์แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาทักษะปัญญาประดิษฐ์สำหรับเด็กต้องมุ่งเน้นการเคารพสิทธิของเด็ก การส่งเสริมความหลากหลายและการไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมทั้ง สร้างความปลอดภัยในโลกออนไลน์ รวมทั้งในด้านบทบาทของครูและผู้ปกครอง การร่วมมือในการใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย นอกจากนี้ เด็กควรมีส่วนร่วมในการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงจริยธรรมและการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ</p>
พนิตา ชอบทำกิจ, กมลวรรณ อังศรีสุรพร และนารวี อิ่มศิลป์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
130
142
-
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่กับการละเมิดทางแพ่ง
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/278221
<p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบหลักเกณฑ์ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่<br />ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กับหลักเกณฑ์ความรับผิดทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยศึกษาจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบทความทางวิชาการ ผลการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กำหนดให้เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดทางละเมิด จะต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือส่วนตัว</p> <p>หากเป็นการกระทำละเมิดที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่ได้วางหลักในเรื่องเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดแตกต่างไปจากเรื่องละเมิดที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ถ้าเป็นการละเมิดที่เกิดขึ้นส่วนตัว หรือมิได้เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ย่อมต้องเป็นไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการกระทำการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำลง กรณีนี้ผู้เสียหายจะไม่สามารถฟ้องเจ้าหน้าที่โดยตรงได้ แต่ต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัด หน่วยงานของรัฐจึงต้องรับภาระชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำละเมิดไปก่อน แล้วจึงไปไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่ในภายหลัง โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องรับผิดทางละเมิดเฉพาะเมื่อเป็นการจงใจให้เกิดความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น และให้แบ่งแยกความรับผิดของแต่ละคน โดยไม่ใช้หลักลูกหนี้ร่วม ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของรัฐ</p>
ธัชฎามาศ อุไรวรรณ
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
2024-12-28
2024-12-28
21 2
79
92