วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly <p><strong>การดำเนินงานของวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น</strong></p> <p> วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น เริ่มดำเนินเผยแพร่บทความตามหนังสือสำคัญแสดงการจดแจ้งการพิมพ์ตามประกาศการพิมพ์ พ.ศ. 2550 และมีการเผยแพร่บทความอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ฉบับ</p> <p> การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการรอบที่ 4 (พ.ศ. 2563 - 2567) วารสารได้รับการรับรองคุณภาพตามกรอบมาตรฐานของศูนย์อ้างอิงวารสารไทย กลุ่มที่ 2 (TCI: Thai Journal Citation Index Centre)</p> <p> การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการรอบที่ 5 (พ.ศ. 2568 - 2572) วารสารได้รับการรับรองคุณภาพตามกรอบมาตรฐานของศูนย์อ้างอิงวารสารไทย กลุ่มที่ 2 (TCI: Thai Journal Citation Index Centre)</p> <p> ตามหนังสือสำคัญแสดงการจดแจ้งการพิมพ์ตามประกาศการพิมพ์ 2550 เลขที่ สศก. ที่ 9/01/2568 กองบรรณาธิการได้ดำเนินการขอยกเลิกหมายเลข ISSN ได้แก่ </p> <ol> <li>หมายเลข 2673-0618</li> </ol> <p> กองบรรณาธิการได้ดำเนินการขอจดแจ้งหมายเลข ISSN ใหม่ ได้แก่</p> <ol start="2"> <li>หมายเลข ISSN ใหม่ คือ 3088-1269 (วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น-UMT-POLY Journal)</li> </ol> <p> </p> th-TH <p><strong>ประกาศลิขสิทธิ์</strong><br /> เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ<br /> บทความ ข้อมูล เนื้อหาหรือรูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำข้อมูลทั้งหมดหรือบางส่วนไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์นก่อนเท่านั้น<br /><br /></p> umtpoly.journal@umt.ac.th (Assoc.Prof.Dr.Veerasak Jinarat) umtpoly.journal@umt.ac.th (Editorial department) Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การสังเคราะห์งานวิจัยเพื่อเสนอแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือ ในการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/282534 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 โดยได้ศึกษาจากเอกสารรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) งานวิจัยเรื่อง สภาพครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดูเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 และ 2) งานวิจัยเรื่อง สภาพและปัญหาของครูในการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสังเคราะห์ผลงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงบรรยาย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยอยู่ในระดับมาก (x ̅ = 3.93) และ 2) สภาพและปัญหาของครูในการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมาก (x ̅ = 4.46) 3) แนวทางเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ1) ด้านการบริหารจัดการศึกษาของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 2) การสร้างความร่วมมือในการพัฒนาทักษะชีวิต 3) ด้านการสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาทักษะชีวิต 4) ด้านการเสริมสร้างทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21</p> จิตโสภิณ โสหา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/282534 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การสังเคราะห์งานวิจัยของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ ศรีสะเกษ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/282522 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์คุณลักษณะของงานวิจัยของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษและ 2) เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยของนักศึกษา งานวิจัยที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ งานวิจัยของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2563-2566 จำนวน 58 เรื่อง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกข้อมูลงานวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) งานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยทำการทดลองในโรงเรียนระดับประถมศึกษาของภาครัฐมากที่สุด สมมติฐานการวิจัยส่วนใหญ่เป็นการวิจัยสมมติฐานแบบทางเดียว การออกแบบการวิจัยส่วนใหญ่เป็น one group pretest-posttest design กลุ่มตัวอย่างเป็นการเลือกแบบเจาะจงโดยเป็นเด็กปฐมวัยอายุ 5 – 6 ปี มากที่สุด สาระการเรียนรู้เป็นสาระการเรียนรู้ด้านภาษาศาสตร์ เครื่องมือการวิจัยส่วนใหญ่เป็นแบบประเมินพฤติกรรม การหาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัยตรวจสอบโดยตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหามากที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ 2) ผลการสังเคราะห์งานวิจัยพบว่า ตัวแปรอิสระที่ใช้ในการวิจัย มี 3 แบบ คือ 1) นวัตกรรมทางการศึกษา ได้แก่ นิทาน กิจกรรมศิลปะ เกม คำคล้องจอง การเล่นบทบาทสมมติ 2) การใช้ชุดการสอน/ชุดกิจกรรม ได้แก่ ชุดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านและของเล่นพื้นบ้าน ชุดการสอนงานศิลปะ ชุดกิจกรรมการฝึกอ่านและเขียน ชุดกิจกรรมการเล่นเกมการศึกษา ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ และ 3) การใช้รูปแบบการสอน ได้แก่ รูปแบบการสอนที่ใช้นิทานเพื่อพัฒนาการฟังและการพูด ตัวแปรตามในการวิจัยเป็น 4 พัฒนาการ คือ 1) พัฒนาการด้านสติปัญญา ได้แก่ ทักษะทางภาษา ทักษะทางคณิตศาสตร์และทักษะทางวิทยาศาสตร์ 2) พัฒนาการด้านร่างกาย ได้แก่ พัฒนาการกล้ามเนื้อใหญ่ พัฒนาการกล้ามเนื้อเล็ก 3) พัฒนาการด้านสัมคม ได้แก่ พฤติกรรมกล้าแสดงออก การทำงานร่วมกันและ 4) ด้านอารม์-จิตใจ ได้แก่ การควบคุมอารมณ์</p> อภิรดี ไชยกาล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/282522 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการทำเกษตรแบบผสมผสานของเกษตรกรในพื้นที่ ตำบลโนนแดง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/282481 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำการเกษตรแบบผสมผสานและกำหนดแนวทางการส่งเสริมการทำการเกษตรแบบผสมผสานของเกษตรกรในพื้นที่ตำบลโนนแดง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ วิธีวิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทำการสัมภาษณ์เชิงลึกและเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบผสมผสานจำนวน 20 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจงจากเกษตรกรที่อยู่ในโครงการโคกหนองนาโมเดลและโครงการเกษตรนาแปลงใหญ่ จำนวน 150 คน ใช้วิธีสมัครใจ สุ่มโดยทำหนังสือขอความอนุเคราะห์เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยให้กับเกษตรกรเป้าหมายพร้อมแนบเอกสารตอบรับภายในเวลาที่กำหนด จัดลำดับตามเวลาที่ส่งแบบตอบรับ และผู้วิจัยลงพื้นที่เก็บเอกสารตอบรับด้วยตนเอง วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุ 41-50 ปี แต่เมื่อวิเคราะห์ภาพรวมอายุของกลุ่มตัวอย่างอายุเฉลี่ย 33.25 ปี และระดับการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับการศึกษาภาคบังคับระดับประถมถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ปัจจัยทางกายภาพ คือ จำนวนพื้นที่ถือครองที่ดินและเงินทุนมีเพียงพอจะส่งผลต่อการตัดสินใจทำเกษตรผสมผสานปัจจัยทางการผลิต ถ้ามีความรู้การผลิตและมีที่ดินของตนเองจะส่งผลต่อการตัดสินใจทำการเกษตรแบบผสมผสานการวิจัยพบว่าเกษตรกรกลุ่มตัวอย่าง มีที่ดินเป็นของตนเอง มีความรู้เรื่องการผลิต และให้ความสำคัญต่อแหล่งจำหน่ายผลผลิตและราคาผลผลิตที่คุ้มค่าต่อการลงทุนแต่ขาดความรู้เรื่องการคำนวณต้นทุน แนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้ทำเกษตรผสมผสานควรมีการอบรมความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการผลิต การจัดหาแหล่งจำหน่ายให้กับเกษตรกร ความรู้เรื่องการคำนวณต้นทุน พร้อมทั้ง การแปรรูปผลผลิตผ่านทางสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน เกษตรอำเภอ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับตำบล เพื่อช่วยไม่ให้เกิดสินค้าล้นตลาดที่อาจส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ำ</p> ยุทธนา เฉลียวชาติ, สมมาตร คงเรือง, ทินกร จันทร์มณี, ปรีชา รักษ์เมือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/282481 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการปรับตัวของ SMEs ไทยในอุตสาหกรรมอาหาร ในการเข้าสู่ตลาดส่งออกที่ยั่งยืน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/285486 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการส่งออกอย่างยั่งยืนของ SMEs ในอุตสาหกรรมอาหารของไทย ระดับความพร้อม แนวทางการปรับตัว และให้ข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ไทยในการเข้าสู่ตลาดส่งออกที่ยั่งยืน โดยอิงกรอบแนวคิด Export Readiness ร่วมกับหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อสะท้อนแนวโน้มของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหาร การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 150 ราย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร เชียงใหม่และจังหวัดนครราชสีมา และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก 6 ราย ครอบคลุมทั้งภาคธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐและภาควิชาการ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการส่งออกอย่างยั่งยืน ได้แก่ ความพร้อมของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสากล การจัดการกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการสื่อสารคุณค่า ESG และการสร้างเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ทั้งภายในประเทศและระดับสากล นอกจากนี้ งานวิจัยได้นำเสนอกรอบแนวคิด “3P Export Readiness Model” ประกอบด้วย Product Readiness (ความพร้อมด้านผลิตภัณฑ์), Process Adaptation (การปรับกระบวนการ) และ Partnership &amp; Platform (การสร้างเครือข่ายและแพลตฟอร์ม) ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการประเมินและพัฒนา SMEs อย่างเป็นระบบเพื่อเข้าสู่ตลาดส่งออกที่ยั่งยืนโดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ความพร้อมด้านการส่งออกอาหาร การพัฒนาโครงการ Thai Food ESG Index และการขยาย “คลินิก ESG for SMEs” ในระดับภูมิภาค เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้อย่างมีความรับผิดชอบ ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจ BCG</p> สุธินี มงคล, ธรรมนูญ วิศิษฏ์ศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/285486 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 จริยธรรมนักการเมืองกับความมีเสถียรภาพทางการเมืองในจังหวัดภูเก็ต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/280324 <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับของจริยธรรมนักการเมืองและความมีเสถียรภาพทางการเมือง และ (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐกับความมีเสถียรภาพทางการเมือง โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นมาจากการทบทวนวรรณกรรมและนำไปรวบรวมความเห็นของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ขึ้นไป และมีที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 398 คน แล้ววิเคราะห์ผลด้วยสถิติ Pearson Correlation</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) จริยธรรมนักการเมือง โดยภาพรวม อยู่ในระดับน้อย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การมุ่งผล สัมฤทธิ์ของงาน รักษามาตรฐาน มีคุณภาพโปร่งใส และตรวจสอบได้ รองลงมา คือ การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและน้อยที่สุด คือ การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง 2) ความมีเสถียรภาพทางการเมือง โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ พรรคร่วมรัฐบาล รองลงมา คือ กฎหมายและน้อยที่สุด คือ ประชาชน 3) จริยธรรมนักการเมืองมีความ สัมพันธ์กับความมีเสถียรภาพทางการเมือง ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p> </p> พรพรรณ ว่องไว, สมพร อนันตวรพจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/280324 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700