https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/issue/feed วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ 2024-04-30T17:43:30+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิติกร อ่อนโยน tabianvru@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์</strong></p> <p>ISSN 3056-9419 (Print) <br />ISSN 3056-9427 (Online)</p> <p>กำหนดการตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี <br />- ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน <br />- ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตของการตีพิมพ์</strong> <br /> เปิดรับบทความวิจัย และบทความวิชาการ ได้แก่ บทความปริทัศน์บทความวิชาการ บทความวิจารณ์หนังสือ และบทความจากประสบการณ์ เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (การศึกษา สังคมศาสตร์ทั่วไป จิตวิทยาทั่วไป ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์) จากบุคลากรทั้งของมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไป <br /> บทความวิชาการหรือบทความวิจัย ที่จัดพิมพ์ในวารสารทุกบทความต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรอง และได้รับการยอมรับการตีพิมพ์บทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง จากภายในและ/หรือภายนอกมหาวิทยาลัยที่มาจากหลากหลายสถาบัน และไม่สังกัดในหน่วยงานเดียวกันกับผู้นิพนธ์ จำนวน 3 ท่าน (<strong>Double-blinded Review</strong>) และหากตรวจสอบพบว่า มีการจัดพิมพ์ซ้ำซ้อนถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์แต่เพียงผู้เดียว</p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/263991 แนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล 2023-08-03T18:48:39+07:00 ศิริพงษ์ ฐานมั่น siriphongbodin@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจบริการผู้สูงอายุในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจบริการผู้สูงอายุกับคุณภาพการให้บริการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และ (3) เพื่อเสนอแนวทาง การขับเคลื่อนธุรกิจบริการผู้สูงอายุในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยกระบวนการวิจัยใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรม งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทความ ฐานข้อมูลออนไลน์ เพื่อสังเคราะห์ปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ โดยรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ตามทฤษฎีคุณภาพการให้บริการ 5 มิติ <br />ผลการวิจัย พบว่าปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ ปัจจัยการมุ่งเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี และปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นเครือข่าย มีผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการและ มีอิทธิผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจบริการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยที่ปัจจัยทั้งสามมีความสัมพันธ์ต่อกัน แนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ ตามกรอบคุณภาพการให้บริการ 5 มิติ ได้แก่ การบริการที่มีความเสมอภาค มีการประเมินและวางแผนการบำบัดรักษาเป็นระยะ มีมาตรฐาน การให้บริการ มีการกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานที่ชัดเจน มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยทางกายภาพให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ มีระบบสำรองเครื่องมือและวัสดุพร้อมที่ให้บริการตลอดเวลา และวิเคราะห์ความต้องการและความคาดหวังของสูงอายุ</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 ศิริพงษ์ ฐานมั่น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/267966 ผลการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์เชิงรุกที่มีต่อ ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2023-11-08T16:14:38+07:00 สุวรรณา จุ้ยทอง suwana@vru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์เชิงรุก สำหรับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก สาขาวิชาหลักสูตรและการสอนที่มีต่อการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์เชิงรุก กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักศึกษาระดับ ปริญญาโท และระดับปริญญาเอก สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี ในปีการศึกษา 2562 ถึง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 85.71 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แผนการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์เชิงรุก มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M = 4.57, S.D. = 0.11) และ 2) แบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่า IOC เท่ากับ 0.67-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการวิจัย พบว่า<br />1. องค์ประกอบของการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์เชิงรุก สำหรับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ มีองค์ประกอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านวิชาการ 2) ด้านความสัมพันธ์ 3) ด้านคุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษา และ 4) ด้านจิตใจของนักศึกษา <br />2. ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ต่อการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์เชิงรุก อยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.99, S.D. = 0.01) <br /><br /></p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สุวรรณา จุ้ยทอง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/262928 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการใช้ชุดแบบฝึกทักษะ 2023-03-14T10:18:19+07:00 คชินทร์ โกกนุทาภรณ์ kachin@vru.ac.th สุกัญญา ศรมณี sukanya.sorn@vru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาคุณภาพของชุดแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดเขียนเขต จำนวน 39 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดแบบฝึกทักษะ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ 96.29/85.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 70/70 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนโดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คชินทร์ โกกนุทาภรณ์, สุกัญญา ศรมณี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/271252 ผลการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2024-03-12T15:59:31+07:00 ภัทรีญา ต่อแก้ว phatthariyatokaew@gmail.com กฤษณะ โสขุมา k_sokhuma@yahoo.co.th เดช บุญประจักษ์ dr.dech2009@gmail.com <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2) ศึกษาพัฒนาการทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนรู้ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทพรัตน์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยนาท ปีการศึกษา 2565 จำนวน 18 คน ที่มีความสามารถคละกัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M = 4.56, S.D. = 0.42) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.47 - 0.73 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20 - 0.53 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.72 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (Dependent samples t-test) และค่าดัชนีประสิทธิผล<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD หลังการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2. พัฒนาการทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.58 แสดงว่านักเรียนมีพัฒนาการในการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ 58<br />3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD อยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.73, S.D. = 0.39)</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 ภัทรีญา ต่อแก้ว, กฤษณะ โสขุมา, เดช บุญประจักษ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/266400 การศึกษาคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในวิชาสังคมศึกษา 2023-11-07T16:06:37+07:00 มนัญชยา อัคคีเดช wassanat@g.swu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 ห้องเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จำนวน 29 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามคุณลักษณะความเป็นผู้ประกอบการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เครื่องมือที่ใช้คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะความเป็นผู้ประกอบการ จำนวน 3 แผน ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ผู้ผลิตผู้บริโภค แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ปัจจัยการผลิตและการใช้ทรัพยากรและแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การรวมกลุ่มการผลิต และแบบสอบถามคุณลักษณะความเป็นผู้ประกอบการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานช่วยเสริมสร้างคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้แก่ด้าน 1) ความเป็นตัวเอง 2) การมีนวัตกรรม 3) ความกล้าเสี่ยง 4) พฤติกรรมเชิงรุกในการแข่งขัน 5) ความสม่ำเสมอและความใส่ใจในการเรียนรู้ 6) ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ อยู่ในระดับดีมาก</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มนัญชยา อัคคีเดช https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/268780 ผลการจัดการเรียนรู้เชิงผลิตภาพที่มีต่อความสามารถ ในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2023-12-04T16:53:09+07:00 วุฑฒินันท์ ศรีแสน nnsrisaen@gmail.com นิติกร อ่อนโยน o.nitikorn@gmail.com ฐาปนา จ้อยเจริญ thapana@vru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนและหลังเรียน เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงผลิตภาพ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงผลิตภาพกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดหลักแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 24 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เชิงผลิตภาพ เรื่อง ดาราศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ จำนวน 12 แผน 24 ชั่วโมง มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M = 4.47, S.D. = 1.29) 2) แบบประเมินความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาราศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งประกอบด้วย 2 ตอน ได้แก่ 2.1 แบบประเมินความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ด้านการเขียน มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 และ 2.2 แบบประเมินความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ด้านการพูด มีค่าความเชื่อมั่น 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ค่าเฉลี่ย 2) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 3) สถิติทดสอบค่าที <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงผลิตภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงผลิตภาพสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วุฑฒินันท์ ศรีแสน, นิติกร อ่อนโยน, ฐาปนา จ้อยเจริญ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/268736 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความวิตกกังวลในการเรียนรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษกับการใช้กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี 2024-03-21T09:42:52+07:00 วรวรรณ วงศ์ศรีวิวัฒน์ worawan@vru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความวิตกกังวลในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี 2) ศึกษาการใช้กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความวิตกกังวลในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษกับการใช้กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักศึกษา การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามซึ่งผ่านการพิจารณาความตรงจากดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ไม่น้อยกว่า 0.6 และค่าความเที่ยงรายด้านอยู่ระหว่าง 0.79-0.90 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา VLE310 ในภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 89 คน สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบตามสะดวก ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน<br />ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักศึกษามีความวิตกกังวลในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ในระดับปานกลาง (M = 3.55, S.D. = 0.91) นักศึกษาใช้กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยรวมในระดับปานกลาง (M = 3.63, S.D. = 0.64) โดยใช้กลวิธีสนับสนุนมากที่สุด (M = 3.83, S.D. = 0.79) และระดับความวิตกกังวลในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับการใช้กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในภาพรวม ที่ระดับนัยสำคัญ .01 (ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 0.511)</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วรวรรณ วงศ์ศรีวิวัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/269369 การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ร่วมกับแอปพลิเคชัน Photomath 2023-12-20T11:27:10+07:00 ธนพล ดวงเงิน khonpooton@gmail.com สมวงษ์ แปลงประสพโชค drwangp@gmail.com กฤษณะ โสขุมา k_sokhuma@yahoo.co.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการเชิงเส้น ตัวแปรเดียวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ร่วมกับแอปพลิเคชัน Photomath และ 2) ศึกษาพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนในการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ร่วมกับแอปพลิเคชัน Photomath กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานครเขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียนซึ่งมีนักเรียน 23 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย จากกลุ่มโรงเรียนมัธยมขนาดเล็กเหมือนกัน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ร่วมกับ แอปพลิเคชัน Photomath เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 12 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 15 ข้อ ที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.87 และแบบทดสอบแบบอัตนัย จำนวน 3 ข้อ ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 และ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (Paired Sample t-test)<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว หลังการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ร่วมกับแอปพลิเคชัน Photomath สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียน พบว่า มีพฤติกรรมการทำงานกลุ่มคิดเป็นร้อยละ 83.81 อยู่ในระดับสูง</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 ธนพล ดวงเงิน , สมวงษ์ แปลงประสพโชค, กฤษณะ โสขุมา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/266424 ความคาดหวังของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหาร สถานศึกษาขนาดใหญ่ จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระแก้ว 2023-08-12T15:34:01+07:00 ประพันธ์พงษ์ ชิณพงษ์ praphunphong@vru.ac.th เจษฎา ความคุ้นเคย jessada@vru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคาดหวังของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่ จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระแก้ว และ 2) เปรียบเทียบ ความคาดหวังของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่ จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระแก้ว จำแนกตามเพศ ระดับช่วงชั้นของนักเรียน และจังหวัดที่นักเรียนศึกษาอยู่ โดยเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารจากตัวอย่างนักเรียน ที่กำลังศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสถานศึกษาขนาดใหญ่ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสระแก้ว โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามแบบประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่น 0.76 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติพื้นฐาน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ ค่า t-test <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคาดหวังของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสระแก้ว โดยรวมทุกด้าน อยู่ในระดับมาก และ 2) คาดหวังของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ระดับช่วงชั้นของนักเรียน และจังหวัดที่นักเรียนศึกษาอยู่ พบว่า นักเรียนที่มีเพศหรือจังหวัดที่ศึกษาอยู่ต่างกัน มีความคาดหวังต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่ต่างกัน ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 </p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 ประพันธ์พงษ์ ชิณพงษ์, เจษฎา ความคุ้นเคย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/270629 การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเทคนิค KWDL 2024-03-11T14:53:10+07:00 มะลุลี จันทร์หอม pawana090212@gmail.com พรสิน สุภวาลย์ pornsin.s@gmail.com กฤษณะ โสขุมา k_sokhuma@yahoo.co.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการจัดการเรียนรู้ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว<br />ด้วยเทคนิค KWDL และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัด การเรียนรู้ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ด้วยเทคนิค KWDL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนรามวิทยา รัชมังคลาภิเษก จำนวน 30 คน โดยใช้การสุ่มห้องเรียนแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระ <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 25.55) 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 4.50, S.D. = 0.68)</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มะลุลี จันทร์หอม, พรสิน สุภวาลย์, กฤษณะ โสขุมา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/268064 การวิเคราะห์สารนิทัศน์การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ของนักศึกษาปฐมวัย 2024-03-11T16:08:42+07:00 นันทิยา รักตประจิต nantiya@vru.ac.th พนิดา ชาตยาภา chatayapha@hotmail.co.th ศศิธร จันทมฤก sasithorn@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของนักศึกษา ครูปฐมวัย โดยการวิเคราะห์สารนิทัศน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 23 คน ที่เรียนในรายวิชาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3 - 6 ปี ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ สารนิทัศน์ ประกอบด้วย 1) แบบบันทึกการสังเกตการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3 - 6 ปี 2) วิดีทัศน์การจัดกิจกรรม 3) ภาพถ่าย การจัดกิจกรรม และ 4) แผนการจัดกิจกรรม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาตามกรอบ ในการวิเคราะห์ คือ 1) หลักพัฒนาการ 2) หลักการจัดการการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง 3) หลักการบูรณาการ 4) หลักการเล่นและการเรียนรู้ 5) หลักการใช้สื่อ เทคโนโลยีและสภาพแวดล้อม และ 6) หลักการประเมินตามสภาพจริง<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. นักศึกษาครูปฐมวัย จัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย อายุ 3 - 4 ปี ในกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมเสริมประสบการณ์และกิจกรรมสร้างสรรค์ได้สอดคล้องกับหลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ คือหลักพัฒนาการ หลักการจัดการการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ การทำงานของสมอง หลักการเล่นและการเรียนรู้ หลักการใช้สื่อ เทคโนโลยีและสภาพแวดล้อม แต่ยังไม่สอดคล้องกับหลักการบูรณาการและหลักการประเมินตามสภาพจริง<br />2. นักศึกษาครูปฐมวัย จัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย อายุ 4 - 5 ปี ในกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมเสริมประสบการณ์และกิจกรรมสร้างสรรค์ได้สอดคล้องกับหลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ คือหลักพัฒนาการ หลักการจัดการการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ การทำงานของสมอง หลักการเล่นและการเรียนรู้ หลักการใช้สื่อ เทคโนโลยีและสภาพแวดล้อม แต่ยังไม่สอดคล้องกับหลักการบูรณาการและหลักการประเมินตามสภาพจริง<br />3. นักศึกษาครูปฐมวัย จัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย อายุ 5 - 6 ปี ในกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมเสริมประสบการณ์และกิจกรรมสร้างสรรค์ได้ สอดคล้องกับหลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ คือ หลักพัฒนาการ หลักการจัดการการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง หลักการเล่นและการเรียนรู้ หลักการใช้สื่อ เทคโนโลยีและสภาพแวดล้อม หลักการบูรณาการ แต่ยังไม่สอดคล้องกับหลักการประเมินตามสภาพจริง<br /><br /></p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 นันทิยา รักตประจิต, พนิดา ชาตยาภา, ศศิธร จันทมฤก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/268072 การประเมินความเสี่ยงอันตรายจากการทำงานของคนงานก่อสร้างในโครงการก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี 2023-12-20T15:53:08+07:00 วัชราภรณ์ วงศ์สกุลกาญจน์ watcharaporn@vru.ac.th ขวัญแข หนุนภักดี khwankhae@vru.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงอันตรายจากการทำงานของคนงานก่อสร้างในโครงการก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในคนงานก่อสร้างจำนวน 78 คนโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและประเมินความเสี่ยงอันตรายจากการทำงานโดยใช้เมทริกความเสี่ยงทางสุขภาพที่พิจารณาระดับโอกาสและความรุนแรง แบ่งลักษณะงาน 3 งาน ได้แก่ 1) งานโครงสร้าง 2) งานสถาปัตยกรรม 3) งานระบบ และอันตราย ที่พบในงานก่อสร้างแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1) อุบัติเหตุจากวัตถุหรือสิ่งของตัด บาด ทิ่มแทง แผลจากความร้อน 2) อุบัติเหตุจากการโดนวัตถุกระแทก ตกใส่ ชน 3) การบาดเจ็บที่ตา/สมรรถภาพ การได้ยิน 4) การระคายเคืองผิวหนัง/ทางเดินหายใจ 5) อาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการศึกษาพบ เพศชายร้อยละ 85 อายุเฉลี่ย 52 ปี ประสบการณ์ในการทำงานก่อสร้าง 20 ปี และร้อยละ 95 เคยได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุในการทำงาน ผลการประเมินระดับความเสี่ยงต่อการประสบอันตรายใน 3 ลักษณะงานมีดังนี้<br />1. งานโครงสร้าง พบความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้จากงานปรับพื้นที่ ขนวัสดุและเครื่องจักร ขุดเจาะขนถ่ายดิน ตอกเสาเข็มและผูกเหล็กเนื่องจากอุบัติเหตุจากวัตถุหรือสิ่งของตัด บาด ทิ่มแทง แผลจากความร้อน สำหรับงานปรับพื้นที่ ขุดเจาะขนถ่ายดิน ตอกเสาเข็มพบอุบัติเหตุจากการโดนวัตถุกระแทก ตกใส่ ชนในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้อาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อพบจากงานขนวัสดุและเครื่องจักร ขุดเจาะขนถ่ายดิน ผูกเหล็กและเทคอนกรีตในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้<br />2. งานสถาปัตยกรรม พบความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้จากอุบัติเหตุจากวัตถุหรือสิ่งของตัด บาด ทิ่มแทง แผลจากความร้อน อุบัติเหตุจากการโดนวัตถุกระแทก ตกใส่ ชนและอาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อในการทำงานฝ้าเพดาน ส่วนงานทาสี ก่อฉาบ โบกปูน ตกแต่งภายในมีความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้จากอาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ<br />3. งานระบบ พบว่า ผลการประเมินระดับความเสี่ยงต่อการประสบอันตรายในขั้นตอน การทำงานระบบไม่พบระดับความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ <br /><br /></p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วัชราภรณ์ วงศ์สกุลกาญจน์, ขวัญแข หนุนภักดี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/266398 การวิเคราะห์อรรถกถาธรรมบทแห่งพระพุทธศาสนาเถรวาท : เรื่องเล่าเชิงจริยธรรม 2023-11-16T15:59:57+07:00 จิระศักดิ์ สังเมฆ jirasak.sung@vru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) วิเคราะห์จริยธรรมในอรรถกถาธรรมบท ยมกวรรค 2) วิเคราะห์สหวิทยาการในอรรถกถาธรรมบท ยมกวรรค และ 3) วิเคราะห์อนุภาคแห่งเรื่องเล่า ในอรรถกถาธรรมบท ยมกวรรค เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยการเก็บข้อมูลเอกสารจากคัมภีร์พระไตรปิฎก หนังสืออรรถกถาธรรมบท ยมกวรรค และวิเคราะห์ประมวลผลจริยธรรม สหวิทยาการ และอนุภาคแห่งเรื่องเล่า <br />ผลการวิจัย พบว่า จริยธรรมในอรรถกถาธรรมบท ยมกวรรคแห่งพระพุทธศาสนาเถรวาท มีลักษณะธรรมตรงกันข้ามกัน เช่น ความคิดดีกับความคิดชั่ว การจองเวรกับการไม่จองเวร ความสามัคคีกับการแตกความสามัคคี ผู้มีจิตมั่งคงกับผู้มีจิตไม่มั่นคง เป็นต้น องค์ความรู้ที่เป็น สหวิทยาการ เป็นการบ่งชี้ปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น ภูมิศาสตร์ การปกครอง วัฒนธรรม อาชีพ เป็นต้น และอนุภาคแห่งเรื่องเล่ามีองค์ประกอบที่สมบูรณ์สอดคล้องกับธรรมบท ประกอบด้วย อนุภาคตัวละคร อนุภาควัตถุ และอนุภาคเหตุการณ์หรือพฤติกรรม</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 จิระศักดิ์ สังเมฆ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/267976 ข้ออ้างเหตุผลทางจริยธรรมของปีเตอร์ ซิงเกอร์เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วม ในตำบลกระแชง อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 2023-11-10T11:30:21+07:00 วรรณลดา กันต์โฉม chatchaphanu.y@ru.ac.th ชัชพันธุ์ ยิ้มอ่อน linechatcha@gmail.com <p>บทความวิจัยมีจุดประสงค์ในการเสนอแนะข้ออ้างเหตุผลทางจริยธรรมเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมในชุมชนให้กับประชาชนในตำบลกระแชง อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีศึกษาตัวบทกับสภาพบริบทของปีเตอร์ซิงเกอร์เพื่อพัฒนาเป็นกรอบแนวคิด นอกจากนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์กับการสนทนากลุ่มเพื่อเปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางจริยธรรมกับการพัฒนาการส่วนร่วมในชุมชน ผลการวิจัยพบว่า ข้ออ้างเหตุผลการพัฒนาการมีส่วนร่วมในตำบลกระแชง คือ ถ้าการเข้ามามีส่วนร่วมในชุมชนไม่ต้องเสียสละอะไรทีสำคัญต่อชีวิต เราควรที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในชุมชน ข้ออ้างเหตุผลดังกล่าวเป็นข้ออ้างที่ทำให้ชุมชนเกิดการพิจารณาว่า ข้ออ้างเหตุผลของตนเองที่ไม่เข้าร่วมในกิจกรรมของชุมชนเป็นการคำนึงถึงการป้องกันผลที่เลวร้ายหรือไม่ และเป็นการปฏิเสธข้ออ้างที่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่มีศีลธรรมเนื่องจากเป็นข้ออ้างที่ไม่ป้องกันผลที่เลวร้าย</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วรรณลดา กันต์โฉม, ชัชพันธุ์ ยิ้มอ่อน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/268745 แนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรของชุมชน ในตำบลบ้านแก้ง อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว 2024-02-12T14:45:32+07:00 สุนทรี จีนธรรม ajsoonaj@gmail.com จีรภัทร์ อัฐฐิศิลป์เวท Jeeraputr14@gmail.com รัชนีวรรณ จีนธรรม ajrachaneewan@hotmail.com ประภัสรา ธรรมวัชรางกูร taaw.papat@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรของชุมชนในตำบลบ้านแก้ง อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว และ 2) ศึกษาแนวทางการอนุรักษ์<br />ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรของชุมชนในตำบลบ้านแก้ง อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว เป็นการวิจัย<br />เชิงคุณภาพโดยเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ได้แก่ หมอพื้นบ้าน ปราชญ์ท้องถิ่นที่มีความรู้และ<br />ภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพร ผู้ปลูกสมุนไพร และผู้นำชุมชน ที่ส่งเสริมการใช้สมุนไพร จำนวนกลุ่มละ 5 คน รวม 20 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรของชุมชน พบปัญหา 4 ด้าน ได้แก่ 1) ปัญหาด้านการปลูกพืชสมุนไพร 2) ปัญหาด้านการใช้ประโยชน์จากสมุนไพร 3) ปัญหาด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร และ 4) ปัญหาด้านการถ่ายทอดภูมิปัญญาการใช้สมุนไพร สำหรับแนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรของชุมชนตำบลบ้านแก้ง พบว่า ทุกภาคส่วน ควรร่วมมีอกันส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรทั้งในที่สาธารณะของตำบลและที่ดินส่วนตัวของสมาชิกชุมชน อาจทำในรูปแบบ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร ป่าครอบครัว ธนาคารต้นไม้ ธนาคารสมุนไพร ปลูกหัวไร่ปลายนา และสวนรอบบ้าน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ผู้นำควรรวมกลุ่มและร่วมมือกันในการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร หน่วยงานภาครัฐ ควรสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้มีมาตรฐาน ส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญา จากหมอพื้นบ้าน ปราชญ์ท้องถิ่นสู่คนรุ่นปัจจุบันโดยจัดทำตำรา และจัดทำฐานข้อมูลหมอพื้นบ้านและฐานข้อมูลสมุนไพร</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สุนทรี จีนธรรม, จีรภัทร์ อัฐฐิศิลป์เวท, รัชนีวรรณ จีนธรรม, ประภัสรา ธรรมวัชรางกูร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/266589 ความหมายต่ออาชีพและแผนอาชีพในอนาคตของพริตตี้ 2023-10-22T16:16:05+07:00 ปิยะวัฒน์ เจริญศักดิ์ Bank.crk@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการให้ความหมายต่ออาชีพ ศึกษาเส้นทาง การเข้าสู่อาชีพ และศึกษาการวางแผนอาชีพในอนาคตของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกต และการวิเคราะห์เอกสาร เป็นเครื่องมือในการวิจัย และคัดเลือก ผู้ประกอบอาชีพพริตตี้และผู้ที่เกี่ยวข้องแบบเจาะจง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 18 คน ใช้วิธีการวิเคราะห์แก่นสาระในการวิเคราะห์<br />ผลการศึกษาพบว่า พริตตี้มีการให้ความหมายต่ออาชีพที่สะท้อนการทำงานเพื่อบุคคลอื่น ได้แก่ นักสร้างความสำเร็จ นักเปิดมุมมอง นักแลกเปลี่ยน นักสร้างความสนใจ นักจัดการแข่งขัน และนักสร้างความสุข ซึ่งมากกว่าการทำงานเพื่อตนเอง ได้แก่ นักสร้างมูลค่า นักนำเสนอ นักสร้างสรรค์ และนักออกแบบ พริตตี้มีเส้นทางการเข้าสู่อาชีพจากความต้องการของตนเองและจากการแนะนำของบุคคลอื่นในระดับที่เท่ากัน และพริตตี้มีการวางแผนอาชีพในอนาคต 3 แนวทาง คือ การทำธุรกิจส่วนตัว การทำงานประจำ และการทำอาชีพอิสระ</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 ปิยะวัฒน์ เจริญศักดิ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/265999 การตัดสินใจของนักเรียนนักศึกษาต่อการศึกษาในวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี 2023-08-27T16:16:06+07:00 ประสิทธิ์ อังกินันทน์ Anki–pra@hotmail.co.th พงษ์สวัสดิ์ พิมพิไสย pongpim2020@gmail.com อัชฌพร อังกินันทน์ anki-a@hotmail.com อัชฌสิทธิ์ อังกินันทน์ atchasit@gmail.com <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง เพศ อายุ และรายได้ของครอบครัว และจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการตัดสินใจของนักเรียนนักศึกษาต่อการเข้าศึกษา ในวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และระดับปริญญาตรี จำนวน 521 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างจากตารางของเครจซีและมอร์แกน ใช้วิธีการสุ่มแบบอย่างง่ายได้จำนวน 226 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็น ประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.84 โดยรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การตัดสินใจของนักเรียนนักศึกษาต่อการศึกษาในวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) นักเรียนนักศึกษาที่มีเพศต่างกันมีการตัดสินใจโดยรวม และรายด้านคือ ด้านการบริหารการจัดการและการบริการและด้านอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม แตกต่างกัน นักเรียนนักศึกษาที่มีอายุต่างกัน มีการตัดสินใจ โดยรวมและรายด้าน คือด้านการบริหารการจัดการและการบริการ ด้านอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม แตกต่างกัน นักเรียนนักศึกษาที่มีรายได้ของครอบครัวต่างกัน มีการตัดสินใจ โดยรวมและรายด้าน คือ ด้านการบริหาร การจัดการและการบริการ ด้านวิชาการและชื่อเสียงของสถานศึกษาและด้านอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 ประสิทธิ์ อังกินันทน์, พงษ์สวัสดิ์ พิมพิไสย, อัชฌพร อังกินันทน์, อัชฌสิทธิ์ อังกินันทน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/268918 ทุนอุดมศึกษาต่อการพัฒนาเยาวชน และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2023-11-16T18:33:37+07:00 อัคตัรมีซี อาหามะ ongc.ahama@gmail.com อุ่นเรือน เล็กน้อย ีunruan_t@yahoo.com <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของ “โครงการ ทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” กับการมีส่วนในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน และเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มประชากรเป้าหมายจำนวน 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ 1 นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทุนอุดมศึกษาฯ ในระยะที่ 1 - 3 จำนวน 24 คน กลุ่มที่ 2 บุคลากรที่มีส่วนในการดำเนินงานโครงการการทุนอุดมศึกษาฯ จำนวน 4 คน โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงบรรยายและ การวิเคราะห์เชิงบริบทของเนื้อหา <br />ผลการศึกษาพบว่า 1) การดำเนินงานโครงการทุนอุดมศึกษาฯ ได้ส่งผลให้เยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่สามารถเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ที่มีคุณสมบัติตามที่โครงการฯ กำหนด ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย การดำเนินงานโครงการทุนฯ 2) นักศึกษาที่ได้รับทุนหลังจากสำเร็จการศึกษาได้มีโอกาส ในการประกอบอาชีพตามศักยภาพของตนเองที่มีส่วนกับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในทางตรง และทางอ้อมในมิติด้านการศึกษา ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และการส่งเสริมภาพลักษณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมในระดับภูมิภาคต่าง ๆ และ 3) บทบาทการประกอบอาชีพของนักศึกษาทุนสอดคล้องและมีส่วนในการหนุนเสริมการดำเนินงานของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ที่เชื่อมโยงสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 อัคตัรมีซี อาหามะ, อุ่นเรือน เล็กน้อย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/269781 การพัฒนากิจกรรมแนะแนวโดยใช้กรอบความคิดแบบเติบโต ที่ส่งเสริมการรู้จักและเข้าใจตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2023-12-22T18:27:37+07:00 ปิยะภรณ์ พันธุวิทย์ piyaporn.pun@vru.ac.th สุวรรณา จุ้ยทอง Suwana@vru.ac.th สมบัติ คชสิทธิ์ piyaporn.pun@vru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพของการพัฒนากิจกรรมแนะแนวโดยใช้ กรอบแนวคิดแบบเติบโตที่ส่งเสริมการรู้จักและเข้าใจตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) เปรียบเทียบการรู้จักและเข้าใจตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังใช้กิจกรรมแนะแนวโดยใช้กรอบความคิดแบบเติบโตที่ส่งเสริมการรู้จักและเข้าใจตนเอง กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 39 คน ซึ่งได้มา โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว จำนวน 9 แผน ซึ่งออกแบบโดยใช้รูปแบบการสอนเชิงประสบการณ์เน้นการสะท้อนคิดและนำกรอบความคิด แบบเติบโตมาสอดแทรกเพื่อกระตุ้นให้กลุ่มตัวอย่างมีความกระตือรือร้นในการเรียน สนุกกับการแก้ปัญหา เรียนรู้และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ที่ท้าทาย และมั่นใจในการค้นหาความถนัดและความสามารถของตนและแบบวัดการรู้จักและเข้าใจตนเอง มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว<br />ผลการวิจัย พบว่า<br />1. คุณภาพของการพัฒนากิจกรรมแนะแนวโดยใช้กรอบแนวคิดแบบเติบโตที่ส่งเสริม การรู้จักและเข้าใจตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ที่สอดแทรกแนวคิดของกรอบความคิดแบบเติบโตในแผนกิจกรรมแนะแนว ในการพัฒนากิจกรรมดังกล่าวมีความเหมาะสมในระดับดีมาก (M= 4.85, S.D. = 0.08)<br />2. การรู้จักและเข้าใจตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังได้รับการจัดกิจกรรมแนะแนวโดยใช้กรอบความคิดแบบเติบโตสูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 </p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 ปิยะภรณ์ พันธุวิทย์, สุวรรณา จุ้ยทอง, สมบัติ คชสิทธิ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/271294 ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถในตนเอง ด้วยการจัดการเรียนรู้เน้นประสบการณ์ที่มีต่อพฤติกรรม การกล้าแสดงออกของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 2024-04-17T15:45:56+07:00 นันทิยา พวงทอง nanthiya.phuang@gmail.com พิชชาดา ประสิทธิโชค pitchada@g.swu.ac.th นฤมล พระใหญ่ narnimon@g.swu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย ด้านพฤติกรรมการกล้าแสดงออกระหว่างนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่เข้าร่วมโปรแกรมและนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่ไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรม 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมการกล้าแสดงออกระหว่างก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและหลังเข้าร่วมโปรแกรมของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่เข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 20 คน และกลุ่มควบคุม 20 คน โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามพฤติกรรมการกล้าแสดงออก และโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถในตนเองด้วยการจัด การเรียนรู้เน้นประสบการณ์ที่มีต่อพฤติกรรมการกล้าแสดงออก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน สถิติในการทดสอบสมมติฐานค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่ม (เป็นอิสระจากกัน) และ สถิติในการทดสอบสมมติฐานค่าเฉลี่ยของประชากรแบบจับคู่<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่เข้าร่วมโปรแกรมมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมการกล้าแสดงออกสูงกว่านักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่ไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่เข้าร่วมโปรแกรมมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมการกล้าแสดงออกหลังเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 นันทิยา พวงทอง, พิชชาดา ประสิทธิโชค, นฤมล พระใหญ่