วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var <p><strong>วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์</strong></p> <p>ISSN 3056-9419 (Print) <br />ISSN 3056-9427 (Online)</p> <p>กำหนดการตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี <br />- ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน <br />- ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตของการตีพิมพ์</strong> <br /> เปิดรับบทความวิจัย และบทความวิชาการ ได้แก่ บทความปริทัศน์บทความวิชาการ บทความวิจารณ์หนังสือ และบทความจากประสบการณ์ เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (การศึกษา สังคมศาสตร์ทั่วไป จิตวิทยาทั่วไป ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์) จากบุคลากรทั้งของมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไป <br /> บทความที่จัดพิมพ์ในวารสารทุกบทความต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรอง (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง จากภายในและ/หรือภายนอกมหาวิทยาลัย ที่หลากหลายสถาบันและไม่สังกัดเดียวกันกับเจ้าของบทความ จำนวน 3 ท่าน ในรูปแบบ (<strong>Double-blinded Review</strong>) และหากตรวจสอบพบว่า มีการจัดพิมพ์ซ้ำซ้อนถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ประสานงานและผู้นิพนธ์ร่วม</p> th-TH <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ เป็นความคิดเห็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน มิใช่เป็นทัศนะและมิใช่ความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการจัดทำวารสาร และ<br />มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์</p> tabianvru@hotmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิติกร อ่อนโยน) sumalee@vru.ac.th (สุมาลี ธรรมนิธา) Thu, 11 Dec 2025 18:43:39 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 อิทธิพลของความเพลิดเพลินในการเรียนภาษาอังกฤษที่มีต่อ ความยึดมั่นผูกพันในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/284083 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความเพลิดเพลินในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2) ศึกษาระดับความยึดมั่นผูกพันในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษา และ 3) ศึกษาอิทธิพลที่ความเพลิดเพลินในการเรียนภาษาอังกฤษมีต่อความยึดมั่นผูกพันในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษา การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วยแบบวัด CFLES (Li, Jiang &amp; Dewaele, 2018) สำหรับวัดระดับความเพลิดเพลินในการเรียนภาษาต่างประเทศ และแบบวัด LCES (Eerdemutu, Dewaele &amp; Wang, 2024) สำหรับวัดระดับความยึดมั่นผูกพันในชั้นเรียนภาษา ซึ่งผ่านการพิจารณาความตรงโดยผู้พัฒนาแบบวัดระดับดังกล่าว และค่าความเที่ยงจากการทดลองเก็บข้อมูลโดยผู้วิจัย ค่าความเที่ยงของทั้งสองแบบวัดอยู่ระหว่าง 0.94-0.95 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา VLE205 และ VLE310 ในภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2567 จำนวน 97 คน สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบตามสะดวก ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความถดถอย <br />ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักศึกษามีความเพลิดเพลินในการเรียนภาษาอังกฤษ ในระดับสูง (<em>M</em> = 4.31, <em>SD</em> = 0.57) อีกทั้งมีความยึดมั่นผูกพันในการเรียนภาษาอังกฤษในระดับสูง (<em>M</em> = 3.94, <em>SD</em> = 0.68) และผลการวิเคราะห์ความถดถอยแสดงให้เห็นว่าความเพลิดเพลินในการเรียนภาษาอังกฤษด้านตัวบุคคลและด้านบรรยากาศ สามารถพยากรณ์ความยึดมั่นในการเรียนภาษาอังกฤษได้ร้อยละ 61 (R Squared = 0.61)</p> วรวรรณ วงศ์ศรีวิวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วรวรรณ วงศ์ศรีวิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/284083 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยและวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - ปีที่ 6 โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านนาชมภูจังหวัดอุดรธานี โดยใช้การเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมสื่อ Farm school model บนฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/285143 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย และวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- ปีที่ 6 ก่อนและหลังที่ได้รับการเรียนรู้ ด้วยนวัตกรรมสื่อ Farm school model บนฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- ปีที่ 6 ที่มีต่อการใช้นวัตกรรมสื่อ Farm school model บนฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 - ปีที่ 6 โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จังหวัดอุดรธานี ที่กำลังศึกษา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 51 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - ปีที่ 6 จำนวน 15 แผน ใช้เวลา 60 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- ปีที่ 6 ซึ่งมีความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.91, 0.90, 0.89, 0.94, 0.88 และ 0.91 ตามลำดับ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - ปีที่ 6 ซึ่งมีความเชื่อมั่น เท่ากับ0.90, 0.90, 0.87, 0.93, 0.89 และ 0.92 ตามลำดับ และ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้นวัตกรรมสื่อ Farm school model บนฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยสถิติทดสอบ t-test <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยและ วิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - ปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมสื่อ Farm school model บนฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - ปีที่ 6 ที่มีต่อการใช้นวัตกรรมสื่อ Farm school model บนฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในรายวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.66, <em>SD</em> = 0.46)</p> เพียงฤทัย พุฒิคุณเกษม, พัชราภรณ์ พิลาสมบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เพียงฤทัย พุฒิคุณเกษม, พัชราภรณ์ พิลาสมบัติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/285143 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแบบวัดและโมเดลเชิงสาเหตุของ Global Mindset (ทัศนคติแบบสากล) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันระดับสากลของนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติในระดับอุดมศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288520 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของแบบวัด Global Mindset เปรียบเทียบระดับทักษะระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนา Global Mindset โดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษา 600 คน แบ่งเป็นนักศึกษาไทยและต่างชาติกลุ่มละ 300 คน <br />จากสถาบันอุดมศึกษาใน 4 ภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ตามระดับการศึกษา ประเภทสถาบัน และประเภทหลักสูตร การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนยายน-กรกฎาคม 2568 โดยการวิจัยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาจาก Global Mindset Inventory (GMI®) ครอบคลุม 3 มิติหลัก คือ ทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) ทุนทางจิตวิทยา (Psychological Capital) และทุนทางสังคม (Social Capital) ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยค่าความเชื่อมั่น (Cronbach's Alpha) และ Composite Reliability (CR) รวมทั้งการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) ที่แสดงความตรงเชิงโครงสร้าง (χ²/df = 1.874, CFI = 0.968, RMSEA = 0.058) และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ 15 คน เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดและสังเคราะห์องค์ประกอบของ Global Mindset วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน (t-test, ANOVA, Chi-Square) การวิเคราะห์เนื้อหา และโมเดลสมการโครงสร้าง (SEM)<br />ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาต่างชาติมีระดับ Global Mindset สูงกว่านักศึกษาไทยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) โดยความแตกต่างสูงสุดในด้านทุนทางสังคม (Effect size = .89) <br />ผลการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างแสดงว่าโมเดลมีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับที่ยอมรับได้ (χ²/df = 3.655, CFI = .936, RMSEA = .067) โดยปัจจัยทั้งสี่ตัวสามารถอธิบายความแปรปรวนของ Global Mindset ได้ 81.0% คุณลักษณะส่วนบุคคลมีอิทธิพลเชิงบวกสูงสุด (β = .743) ตามด้วยทักษะภาษาต่างประเทศ (β = .305) และเครือข่ายทางสังคม (β = .204) ขณะที่ประสบการณ์ระหว่างประเทศมีอิทธิพลเชิงลบ (β = -.291) Global Mindset ส่งผลต่อทุนทางจิตวิทยามากที่สุด (β = .843) ตามด้วยทุนทางปัญญา (β = .776) แต่ไม่ส่งผลต่อทุนทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษานี้ให้แนวทางสำหรับสถาบันอุดมศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรที่เน้นคุณลักษณะส่วนบุคคล การออกแบบประสบการณ์ระหว่างประเทศอย่างมีโครงสร้าง และการพัฒนาทุนทางสังคมผ่านกิจกรรมเฉพาะด้าน<br /><br /></p> ภัทริยา งามมุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ภัทริยา งามมุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288520 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การเรียนรู้และแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย ของนักศึกษาชาวเวียดนาม มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/286607 <p>งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากลยุทธ์การเรียนรู้ภาษาไทยของนักศึกษา ชาวเวียดนามที่ USSH และ 2) ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยสำหรับนักศึกษา ชาวเวียดนาม โดยศึกษาจากประชากรคือ อาจารย์ภาควิชาไทยศึกษาจำนวน 5 คน และนักศึกษาสาขาไทยศึกษา ชั้นปีที่ 4 จำนวน 15 คน จาก USSH เครื่องมือการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับอาจารย์และนักศึกษาชาวเวียดนาม และแบบสอบถามกลยุทธ์การเรียนรู้ภาษาไทยของนักศึกษาชาวเวียดนาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) กลยุทธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาเวียดนามโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.74, σ = 0.95) ค่าเฉลี่ยสูงเป็นอันดับแรกคือ กลยุทธ์ด้านจิตใจ ( = 3.89, σ = 0.85) โดยลดความกังวลและเสริมการเรียนรู้จากการสนทนากับเพื่อนทางออนไลน์ ผ่อนคลายจิตใจโดยดู สื่อบันเทิงของไทย รองลงมาคือ กลยุทธ์ทางสังคม ( = 3.83, σ = 0.92) และกลยุทธ์ด้านการนำไปสู่ความสำเร็จ ( = 3.81, σ = 0.85) 2) แนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยตามความคิดเห็นของนักศึกษาและอาจารย์คือ (1) สื่อการเรียนการสอนควรมีเนื้อหาทันสมัย ใช้ในชีวิตประจำวัน เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย เรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก มีไฟล์เสียงเจ้าของภาษา มีสื่อประเภทเพลง ละคร คลิปท่องเที่ยวประกอบ (2) กิจกรรมเรียนการสอนเน้นฝึกใช้ภาษาในสถานการณ์ ที่หลากหลาย และมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมไทย (3) การประเมินผลเน้นการทดสอบที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทเรียน การใช้ภาษาในชีวิตประจำวันและการทำงาน เน้นการฝึกปฏิบัติ และมีเกณฑ์ประเมินผลที่ละเอียดชัดเจน</p> อาภาภรณ์ ดิษฐเล็ก, พานิช บัวสำอางค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 อาภาภรณ์ ดิษฐเล็ก, พานิช บัวสำอางค์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/286607 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลของการอบรมหลักสูตรนวดเท้าเข้าถึงใจต่อการพัฒนาทักษะ และจิตบริการของประชาชน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288333 <p>การวิจัยนี้ เป็นวิจัยแบบผสมผสาน พัฒนา Soft Skills แก่ประชาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินผลการพัฒนาทักษะของผู้รับการอบรม หลังการอบรมนวดเท้าเพื่อสุขภาพขั้นพื้นฐาน 2) ประเมินเจตคติของผู้รับการอบรมที่มีต่อการเข้ารับการอบรมหลักสูตรนวดเท้าเข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนที่ยินดีเข้าร่วมโครงการวิจัย จำนวน 44 คน ใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ หลักสูตรนวดเท้าเข้าถึงใจ มีคุณภาพระดับมากที่สุด แบบประเมินทักษะ และแบบสัมภาษณ์เจตคติ มีคุณภาพระดับมาก วิเคราะห์ระดับทักษะด้วยค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์เจตคติ เป็นการวิเคราะห์เนื้อหา มีผลการวิจัยดังนี้ <br />1. ผู้รับการอบรมร้อยละ 100 มีทักษะการนวดเท้าเพื่อสุขภาพขั้นพื้นฐาน แสดงถึง การเป็นผู้มีจิตบริการ สามารถตัดสินใจ ยืดหยุ่นวิธีการนวดเท้า และให้คำชี้แนะที่ดีแก่ผู้รับบริการถูกต้อง เหมาะสม ระดับดี<br />2. ผู้รับการอบรมมีเจตคติที่ดีต่อการเข้ารับการอบรมหลักสูตรนวดเท้าเข้าถึงใจ เห็นความสำคัญในบริการนวดเท้าแก่ผู้อื่น ต้องการเรียนรู้การนวดเท้าเพิ่มเติม มีความตั้งใจในการนำความรู้ความสามารถที่ได้รับจากเข้ารับการอบรมไปใช้ประโยชน์</p> กรองทิพย์ นาควิเชตร, ศรุดา ชัยสุวรรณ, นัฐยา บุญกองแสน, ชุติมา พรหมผุย, รัตน์ดา เลิศวิชัย, บุญญ์กัญญ์ จิระเพิ่มพูน, ธัชพนธ์ สรภูมิ, วลัญช์ชยา เขตบำรุง, จิราภรณ์ ประธรรมโย, ต้องตา ขันธวิธิ, กชกร หวังเติมกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรองทิพย์ นาควิเชตร, ศรุดา ชัยสุวรรณ, นัฐยา บุญกองแสน, ชุติมา พรหมผุย, รัตน์ดา เลิศวิชัย, บุญญ์กัญญ์ จิระเพิ่มพูน, ธัชพนธ์ สรภูมิ, วลัญช์ชยา เขตบำรุง, จิราภรณ์ ประธรรมโย, ต้องตา ขันธวิธิ, กชกร หวังเติมกลาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288333 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเบื้องต้น ตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ร่วมกับการแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมทักษะการฟัง-พูดภาษาไทย สำหรับนักศึกษาจีน ระดับปริญญาตรี ปีที่ 1 ในมหาวิทยาลัยหงเหอ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287855 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและสังเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้และปัญหาการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยเบื้องต้นในปัจจุบัน และ 2) พัฒนาและประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยเบื้องต้นตามแนวการสอนภาษา เพื่อการสื่อสาร ร่วมกับบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมทักษะการฟัง-พูดภาษาไทยสำหรับนักศึกษาจีนระดับปริญญาตรี ปีที่ 1 ในมหาวิทยาลัยหงเหอ ศึกษาและสังเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ รวมทั้งวิเคราะห์เอกสาร และแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างโดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเบื้องต้นตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ร่วมกับการแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมทักษะ การฟัง-พูดภาษาไทยสำหรับนักศึกษาจีนระดับปริญญาตรี ปีที่ 1 ในมหาวิทยาลัยหงเหอ โดยใช้ แบบประเมินความเหมาะสมที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 เป็นเครื่องมือใ นการประเมินความเหมาสมของรูปแบบ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>)<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. สภาพการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเบื้องต้นสำหรับนักศึกษาจีน ระดับปริญญาตรี ปีที่ 1 ในมหาวิทยาลัยหงเหอ พบว่าการจัดการเรียนรู้ปัจจุบันเน้นการแปลและการท่องจำ ขาดกิจกรรมสื่อสารจริง เนื้อหาไม่ทันสมัย สื่อไม่หลากหลาย และไม่มีการประเมินทักษะการฟัง-พูดอย่างเป็นระบบ ขาดกิจกรรมสื่อสารจริงเน้น<br />2. ผลการพัฒนาและประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้<br />2.1 รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยองค์ประกอบ 7 ด้าน ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการเรียนรู้ การประเมินผล ระบบสังคม และระบบสนับสนุน โดยขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 2) ขั้นเสนอเนื้อหาภาษา 3) ขั้นฝึกปฏิบัติ 4) ขั้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ร่วมกับบทบาทสมมติ คือ 4.1) ขั้นเตรียมการใช้บทบาทสมมติ 4.2) ขั้นแสดงบทบาทสมมติ 4.3) ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผล 4.4) ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป และ 5) ขั้นสรุป <br />2.2 ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมในระดับ มากที่สุด (<em>M</em> = 4.73, <em>SD</em> = 0.45)</p> ฟาง ฟาง, พิทักษ์ นิลนพคุณ, เลอลักษณ์ โอทกานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ฟาง ฟาง, พิทักษ์ นิลนพคุณ, เลอลักษณ์ โอทกานนท์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287855 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ สาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของครูระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287723 <p>การศึกษานี้ใช้การวิจัยเชิงประเมิน มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและจัดลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของครูระดับประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก ประชากรคือ ครูที่สอนในสาระเทคโนโลยีในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก จำนวน 221 คน กลุ่มตัวอย่าง 140 คน สุ่มแบบแบ่งชั้นจากประชากรตามจำนวนที่คำนวณได้ตามสูตรของ Yamane ที่ความคลาดเคลื่อน .05 เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัด การเรียนรู้สาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของครูระดับประถมศึกษา มีค่าความเที่ยง .98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สาระเทคโนโลยี ประกอบด้วยความต้องการจำเป็น 7 ด้าน เรียงลำดับจากที่มีค่า PNImodified สูงสุดดังนี้ 1) ความรู้ ด้านเนื้อหา (PNI<sub>modified</sub> = 0.131) 2) ความรู้ด้านการสอน (PNI<sub>modified</sub> = 0.118) 3) ความรู้ด้านเทคโนโลยี (PNI<sub>modified</sub> = 0.087) 4) ความรู้บูรณาการเทคโนโลยี การสอน และเนื้อหา (PNI<sub>modified</sub> = 0.074) 5) ความรู้การสอนทางเทคโนโลยี (PNI<sub>modified</sub> = 0.057) 6) ความรู้การสอนทางเทคโนโลยี (PNI<sub>modified</sub> = 0.054) 7) ความรู้เนื้อหาการสอน (PNI<sub>modified</sub> = 0.047)<br />2) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ครูมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสาระเทคโนโลยีของครู ประกอบด้วยความต้องการจำเป็นสูงสุด 9 รายการ เรียงลำดับจากความต้องการจำเป็นสูงสุดดังนี้ 1) วิธีวัดและประเมินผลในห้องเรียน (PNI<sub>modified</sub> = 0.221) 2) ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระวิทยาการคอมพิวเตอร์ (PNI<sub>modified</sub> = 0.208) 3) การออกแบบการเรียนการสอน ( PNI<sub>modified</sub> =0.206) 4) ความรู้ความเข้าใจในการรู้เรื่องดิจิทัล-(digital literacy) (PNI<sub>modified</sub> = 0.195) 5) การติดตามเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างสม่ำเสมอ ( PNI<sub>modified</sub> = 0.170) 6) การใช้เทคโนโลยีในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหาและผู้เรียน (PNI<sub>modified</sub> = 0.156) 7) ความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนรู้ (PNI<sub>modified</sub> = 0.147) 8) การเลือกใช้เทคโนโลยีในห้องเรียนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมตามเนื้อหา กิจกรรมและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (PNI<sub>modified</sub> = 0.132) 9) ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย (PNI<sub>modified</sub> = 0.126)</p> ชาลิสา ศิริโท, ศศิธร กาญจนสุวรรณ, ศันสนีย์ สังสรรค์อนันต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชาลิสา ศิริโท, ศศิธร กาญจนสุวรรณ, ศันสนีย์ สังสรรค์อนันต์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287723 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287191 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา 2) ศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา <br />3) หาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษา <br />สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา ปีการศึกษา 2567 กำหนดกลุ่มตัวอย่าง<br />จากตารางเครจซี่และมอร์แกน จำนวน 298 คน จากนั้นโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น<br />ของแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ เท่ากับ 0.97 และเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ เท่ากับ 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทราโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา<br />เป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการทำงานเป็นทีม รองลงมาคือ ด้านจินตนาการ <br />และด้านความยืดหยุ่นเป็นอันดับสุดท้าย 2) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา <br />สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา<br />เป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รองลงมาคือ ด้านจัดการเรียนในสถานศึกษา และด้านนิเทศการศึกษาเป็นอันดับสุดท้าย 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง (r = .891)</p> วิชิตพล มาชม, วิภาวรรณ สุขสถิตย์, นิวัตต์ น้อยมณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิชิตพล มาชม, วิภาวรรณ สุขสถิตย์, นิวัตต์ น้อยมณี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287191 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุน ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน: กรณีศึกษา เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288144 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาปัจจัยจูงใจ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของพนักงาน และ 2.ศึกษาปัจจัยค้ำจุน ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในบริษัทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนในเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน กลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้ คือ 400 คนด้วยวิธีการเปิดตารางของทาโร่ ยามาเน่ แต่เนื่องจากได้ข้อมูลที่สมบูรณ์จากการเก็บแบบสอบถามสำรองไว้ จึงได้จำนวนข้อมูลทั้งหมด 404 ชุด ด้วยการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ซึ่งได้ค่า IOC เท่ากับ 0.67 - 1.00 และนำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามไปคำนวณหาค่าความเชื่อมั่นหรือค่าความเชื่อถือได้ (Reliability) โดยวิธีการวัดค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา (α-coefficient = 0.89) ตามวิธีของครอนบาค และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณ<br />ผลการวิจัยพบว่า 1.ด้านปัจจัยจูงใจ ผลการวิเคราะห์ชี้ว่าทุกปัจจัยมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะ “ลักษณะงานที่ทำ” (B = 0.239, t = 7.651, Sig. &lt; 0.001) และ “การได้รับการยอมรับนับถือ” (B = 0.218, t = 7.216, Sig. &lt; 0.001) เป็นปัจจัยที่มีผลมากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าพนักงานให้ความสำคัญกับลักษณะงานที่ท้าทายและการได้รับการยอมรับมากกว่าปัจจัยอื่น ๆ และ 2.ปัจจัยค้ำจุน พบว่า สภาพการทำงานและชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัวที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการทำงาน สอดคล้องกับแนวคิดปัจจัยค้ำจุนในทฤษฎี Herzberg ที่แม้จะไม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจโดยตรง แต่เป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันความไม่พอใจในการทำงาน โดยสรุป ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุนมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการทำงาน สามารถอธิบายความแปรปรวนได้รวม 75.10% ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ คือ องค์กรควรสร้างระบบการจูงใจและพัฒนาสภาพแวดล้อม การทำงานที่เหมาะสม เพื่อยกระดับขีดความสามารถของพนักงานและสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน</p> หยาง หลิงหยู, อัญยาณีย์ เกตุพันธุ์, อรกัญญา กันธะชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 หยาง หลิงหยู, อัญยาณีย์ เกตุพันธุ์, อรกัญญา กันธะชัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288144 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการ: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288932 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการ 2) ประเมินประสิทธิภาพของระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารที่มีต่อการใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการ และ 4) เปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการจำแนกตามระดับผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จำนวน 47 คน ได้มาโดยการเลือกตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อ การบริหารงานทะเบียนและวิชาการ เป็นแบบเขียนตอบ โดยมีค่า IOC = 0.67 - 1.00 2) แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการ เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ โดยมีค่า IOC = 0.67 - 1.00 และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารที่มีต่อการใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการ เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ โดยมีค่า IOC = 0.67 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาช เท่ากับ 0.87 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนโดยใช้การทดสอบ Kruskal-Wallis<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการพัฒนาระบบด้วยโปรแกรมภาษา PHP 8.3 ระบบฐานข้อมูลใช้ MySQL การทำงานติดต่อกับผู้ใช้งานด้วย Bootstrap 5.2 และแสดงแผนภาพข้อมูลด้วย Looker Studio ซึ่งประกอบด้วย 7 ระบบย่อย ได้แก่ ระบบสถานะชำระเงินค่าสมัคร ระบบจำนวนนักศึกษาแรกเข้า ระบบโรงเรียนเดิมของนักศึกษาระบบอัตราการคงอยู่ ระบบภาวะการมีงานทำ ระบบความพึงพอใจผู้ใช้บัณฑิต และระบบประกันคุณภาพระดับหลักสูตร 2) ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการ พบว่า มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.67, <em>SD</em> = 0.47) 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารที่มีต่อการใช้ระบบสนับสนุน การตัดสินใจเพื่อ การบริหารงานทะเบียนและวิชาการ พบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.64, <em>SD</em> = 0.58) และ 4) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารงานทะเบียนและวิชาการของผู้บริหารที่มีระดับต่างกัน พบว่า ผู้บริหารแต่ละระดับมีความพึงพอใจต่อ การใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ .05</p> ธรรมรัตน์ สิมะโรจนา, สุพัฒน์ สุขเกษม, พิภัทรา สิมะโรจนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมรัตน์ สิมะโรจนา, สุพัฒน์ สุขเกษม, พิภัทรา สิมะโรจนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/288932 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 องค์ประกอบแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวไทยตัดสินใจ เลือกเดินทางท่องเที่ยวชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/285283 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยว ชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทางท่องเที่ยวชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ 2) ศึกษาองค์ประกอบแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทางท่องเที่ยวชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ และ 3) เปรียบเทียบลักษณะประชากรศาสตร์กับองค์ประกอบแหล่งท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทางท่องเที่ยวชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย แบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ 1) สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อบรรยายข้อมูลทางด้านประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยว และปัจจัยหลักทางการท่องเที่ยว 2) สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ได้แก่ และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way ANOVA) <br />จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 400 คนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 51.75 มีอายุระหว่าง 25-34 ปี คิดเป็นร้อยละ 26.00 และอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน คิดเป็นร้อยละ 28.50 มีสถานภาพครอบครัวโสด คิดเป็นร้อยละ 42.75 มีระดับการศึกษาสูงสุดปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 25.00 และมีรายได้ต่อเดือน 10,000-19,999 บาท คิดเป็นร้อยละ 47.75 ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญระดับปัจจัยหลักทางการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทางท่องเที่ยวชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับปัจจัยโดยรวมอยู่ในระดับมาก (M = 4.06, SD = 0.82) โดยปัจจัยหลักทางการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยว ชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทางท่องเที่ยวชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ มากที่สุด คือสิ่งที่ดึงดูดใจของแหล่งท่องเที่ยว อยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.30, <em>SD</em> = 0.76) รองลงมาคือ สิ่งอำนวยความสะดวก ในแหล่งท่องเที่ยว และการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว สำหรับการทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศ (t<sub>399</sub> = 2.67) และอายุ (F = 6.49) มีผลต่อองค์ประกอบแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทางท่องเที่ยวชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> กัญญาพัชร วุฒิยา, ปิยาภา พรหมทอง, กวีกานต์ กลั่นมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กัญญาพัชร วุฒิยา, ปิยาภา พรหมทอง, กวีกานต์ กลั่นมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/285283 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดกับ การตัดสินใจใช้บริการร้าน Haidilao ของวัยทำงานตอนต้น ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/286667 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยด้านส่วนผสมทางการตลาดของ ร้าน Hidilao 2) ศึกษาการตัดสินใจใช้บริการร้าน Hidilao ของวัยเริ่มต้นทำงานในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้าน Haidilao ของวัยทำงานตอนต้น ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการทดสอบความเชื่อมั่นของเนื้อหา ด้วยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ได้ระดับความเชื่อมั่น 0.95 และ แจกแบบสอบถามออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยทำงานตอนต้น อายุ 21 - 29 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 350 คน ได้มาจากวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ และร้อยละ วิเคราะห์ปัจจัยด้านส่วนผสมทางการตลาดของร้าน Haidilao และการตัดสินใจใช้บริการร้าน Haidilao โดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นรายด้านและโดยรวม และทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติอนุมาน คือ สถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายเพียร์สัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ อันดับหนึ่ง ด้านลักษณะทางกายภาพ อันดับสอง ด้านบุคลากหรือพนักงาน อันดับสามจำนวนเท่ากันคือ ด้านกระบวนการ และด้านผลิตภัณฑ์ อันดับสี่คือ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย อันดับห้าคือ ด้านการส่งเสริมการตลาด และอันดับสุดท้าย คือ ด้านราคา 2) การตัดสินใจเลือกร้านอาหาร Haidilao โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ การค้นหาข้อมูล อันดับสองคือ การตัดสินใจซื้อ อันดับสามคือ การประเมินทางเลือก อันดับสี่คือ พฤติกรรมภายหลังการซื้อ และอันดับสุดท้ายคือ การรับรู้ความต้องการ และ 3) ปัจจัยส่วนประสมการตลาดทั้ง 7P มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจใช้บริการ Haidilao ของกลุ่มวัยทำงานตอนต้นในกรุงเทพมหานคร</p> เยวถิ๋ง หลี่, พรพรหม ชมงาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เยวถิ๋ง หลี่, พรพรหม ชมงาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/286667 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 แรงจูงใจที่มีผลต่อการรับชมรายการร้องข้ามกำแพงของผู้ชม GENERATION Y ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/286491 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจที่มีผลต่อการเปิดรับชมรายการร้องข้ามกำแพงของผู้ชม GENERATION Y ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาการเปิดรับชมรายการร้องข้ามกำแพงของผู้ชม GENERATION Y ในเขตกรุงเทพมหานคร และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจที่มีผลต่อการเปิดรับชมรายการร้องข้ามกำแพงของผู้ชม GENERATION Y ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทดสอบความเชื่อมั่นของเนื้อหาด้วยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน ได้ระดับความเชื่อมั่น 0.92 และแจกแบบสอบถามออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่ม GENERATION Y ที่มีช่วงอายุระหว่าง 28 - 45 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 304 คน ด้วยวิธี Cluster sampling จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าความถี่และร้อยละ วิเคราะห์แรงจูงใจ และการเปิดรับชมรายการร้องข้ามกำแพง โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อคำนวณหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นรายด้านและโดยรวม และทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติอนุมาน คือ สถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายเพียร์สัน<br />ผลการวิจัยพบว่า ทั้งในภาพรวมและภาพย่อย แรงจูงใจมีความสัมพันธ์กับการเปิดรับชมรายการร้องข้ามกำแพง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า แรงจูงใจ ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านฆ่าเวลาหรือเมื่อรู้สึกเหงา ด้านความอยากรู้อยากเห็น ด้านประโยชน์ ในการใช้สอย ด้านความบันเทิง ด้านผ่อนคลาย มีความสัมพันธ์กับการเปิดรับชมรายการรายการ ร้องข้ามกำแพงตรงตามสมมติฐานที่ทางผู้วิจัยได้กำหนดไว้</p> สดายุ ดวงประทีป, พรพรหม ชมงาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สดายุ ดวงประทีป, พรพรหม ชมงาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/286491 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์พุทธวิธีการสอนในคัมภีร์พระไตรปิฎก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287624 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พุทธวิธีการสอนในคัมภีร์พระไตรปิฎก ด้านผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา วิธีการสอน และการประเมินผล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการเก็บข้อมูลเอกสารจากคัมภีร์พระไตรปิฎก และวิเคราะห์ประมวลผลพุทธวิธีการสอน <br />ผลการวิจัย พบว่า พุทธวิธีการสอนในคัมภีร์พระไตรปิฎก (1) ด้านผู้สอน มีลักษณะดังนี้ คือเป็นพหูสูต (พระปัญญาคุณ) เป็นแบบอย่างที่ดี (พระวิสุทธิคุณ) และมีความเมตตาเอื้อเฟื้อ (พระกรุณาคุณ) (2) ด้านผู้เรียน มีการวิเคราะห์ผู้เรียน / ผู้ฟัง บนพื้นฐานของความแตกต่างระหว่างบุคคล (3) ด้านเนื้อหา วิเคราะห์เนื้อหาการสอนให้เหมาะสมกับบุคคล ตามลำดับ ความยากง่าย (4) ด้านวิธีการสอน มีการวิเคราะห์เชิงบูรณาการ ผู้เรียนและเนื้อหาเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมบนฐานความแตกต่างของผู้เรียน และ (5) ด้านประเมินผล มีลักษณะการประเมินผลการสอนควบคู่กันไปกับ การสอน</p> จิระศักดิ์ สังเมฆ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 จิระศักดิ์ สังเมฆ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/view/287624 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700