วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal <p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นวารสารที่เกี่ยวข้องด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การศึกษา บริหารธุรกิจ การท่องเที่ยวและการบริการ และสาขาอื่นๆ สาระในวารสาารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บทความวิจัย ที่เป็นการพัฒนาพื้นที่ในระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด ตำบล หมู่บ้านหรือชุมชน ซึ่งแต่ละฉบับอาจมีเนื้อหาดังกล่าวหลากหลายที่แตกต่างกันไป จัดพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ มกราคม-มิถุนายน กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p>ISSN 3027-7752 (Print)<br />ISSN3027-7760 (Online)</p> en-US <p><strong>ลิขสิทธิ์บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์</strong> ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยเป็นลายลักษณ์อักษร</p> <p><strong>ความรับผิดชอบ</strong> เนื้อหาต้นฉบับที่ปรากฏในวารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความหรือผู้เขียนเอง ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากเทคนิคการพิมพ์</p> huso_published@vru.ac.th (ผศ.ดร.หทัยรัตน์ อ่วมน้อย) huso_published@vru.ac.th (นายกฤตนันท์ ในจิต) Mon, 30 Jun 2025 23:54:28 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แแนวทางการพัฒนาบริการสำหรับผู้สูงอายุให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/275814 <p>การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานสำหรับผู้สูงอายุ ปัญหาและอุปสรรค การจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุ และแนวทางการพัฒนาบริการสำหรับผู้สูงอายุตามมาตรฐานการดำเนินงานผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรปราการ ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการบริการสำหรับผู้สูงอายุ จำนวน 174 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง โดยเก็บข้อมูล จากผู้บริหารท้องถิ่น จำนวน 6 คน ผลการศึกษา พบว่า บุคลากรมีดำเนินงานสำหรับผู้สูงอายุอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 83.3) มีปัญหาและอุปสรรคการจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุตามมาตรฐานอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.73) โดยมีปัญหาและอุปสรรคด้านบริหารจัดการมากที่สุด และมีความคิดเห็นต่อแนวทางการพัฒนาบริการสำหรับผู้สูงอายุตามมาตรฐานอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.21) โดยเห็นว่าการบริการควรเข้าถึงง่าย มากที่สุด ด้านผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผลการวิจัยเชิงปริมาณทุกประเด็น </p> <p> ข้อเสนอแนะ หน่วยงานภาครัฐควรส่งเสริมและผลักดันการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุให้เป็นไปตามมาตรฐานการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งควรยกระดับความร่วมมือในการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ โดยมีการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกัน และควรปรับเปลี่ยนกฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบปฏิบัติ โดยมีการกระจายอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการด้านผู้สูงอายุจากส่วนกลางมายังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเอื้อต่อการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุได้เอง และสอดรับกับความต้องการของผู้สูงอายุในแต่ละพื้นที่</p> อัจฉริยา ฝ่ายสัจจา, วรรณลักษณ์ เมียนเกิด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/275814 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการปรับปรุงแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานสืบสวนคดียาเสพติด ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสายงานป้องกันปราบปราม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/278055 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติด 2) พัฒนารูปแบบการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของเจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของเจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เลือกใช้สูตรในการคำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมสำหรับงานวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้สูตรทาโร่ ยามาเน่ ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 5% และที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้จำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.826 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ระดับความรู้และการรับรู้เกี่ยวกับการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและนโยบาย และด้านความรู้ในการปฏิบัติงานการฝึกอบรมและสวัสดิการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) ปัญหาและอุปสรรคภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.67 และเมื่อพิจารณารายด้านอยู่ในระดับมาก คือ ด้านบุคลากร/เจ้าหน้าที่ <br />ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์/เครื่องมือ ด้านการจัดการ และด้านกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามลำดับ <br />2) แนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปกสรรคอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.96 และเพื่อพิจารณารายด้านอยู่ระดับมากเช่นเดียวกัน คือ ด้านกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร/เจ้าหน้าที่ <br />ด้านวัสดุอุปกรณ์/เครื่องมือ และด้านการจัดการ ตามลำดับ ดังนั้นแนวทางในนการพัฒนารูปแบบควร <br />2.1) จัดฝึกอบรม ให้องค์ความรู้ด้านกฎหมายและทักษะที่จำเป็นสำหรับการสืบสวนก่อนปฏิบัติหน้าที่ <br />2.2) จัดทำแผน ขั้นตอน การเบิกจ่าย หรือการใช้งบประมาณสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานอย่างโปร่งใส 2.3) จัดหาอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวน ให้เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ 2.4) จัดทำ สวัสดิการ ผลตอบแทนของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เท่าเทียมกับหน่วยงานอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน 2.5) ทำคู่มือ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานให้ชัดเจน เข้าใจง่าย</p> ตวงสิทธิ์ จะตุรัง, ภาคิน โชติเวศย์ศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/278055 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสื่อสารอัตลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/279036 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาการพัฒนารูปแบบการสื่อสารอัตลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ <br />โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 25 คน และการสนทนากลุ่ม 9 คน โดยกำหนดแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของแต่ละภูมิภาคในประเทศไทย และใช้ทำการวิเคราะห์เนื้อหาแบบอรรถาธิบายและพรรณนาข้อมูล ผลการศึกษาวิจัยจากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่า องค์ประกอบอัตลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จำแนกออกเป็น 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ชุมชนสร้างสรรค์ นักท่องเที่ยวสร้างสรรค์ กิจกรรมสร้างสรรค์ <br />และปฏิสัมพันธ์สร้างสรรค์ ผลการพัฒนารูปแบบการสื่อสารอัตลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ประกอบด้วย ผู้ส่งสาร (ชุมชนสร้างสรรค์) ผู้รับสาร (นักท่องเที่ยวสร้างสรรค์) ข้อความและกิจกรรม (ลักษณะเฉพาะอัตลักษณ์ของชุมชนประกอบด้วยศิลปะ มรดกทางวัฒนธรรม/ประเพณี/ศาสนา ลักษณะพื้นที่ และวิถีชีวิต) และสื่อสารผ่านการมีส่วนร่วมจากการสัมผัสบรรยากาศ การทำอาหาร การประดิษฐ์ของชำร่วย การฟังบรรยายจากผู้รู้ การเดินเที่ยว การร่วมแสดงการละเล่น การพักโฮมสเตย์ และการแลกเปลี่ยนชีวิตประจำวัน เป็นต้น โดยมุ่งให้เกิดปฏิสัมพันธ์ผ่านผู้มีส่วนได้เสียของชุมชนท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์</p> ชลธิชา รอดกันภัย, ชลากร อุดมอุกฤษฎ์, ณัฐปภัสร์ เทียนจันทร์, ธัชพงศ์ กระตือหน, ธิติพัทธ์ ลิ้มสัมฤทธิ์นิภา, รณภพ นพสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/279036 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโรตีสายไหมร่วมสมัยด้วยเครื่องมือวิศวกรสังคม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/279388 <p>การพัฒนาโรตีสายไหมร่วมสมัยด้วยเครื่องมือวิศวกรสังคมเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์<br />เพื่อ 1) ศึกษาบริบทชุมชนศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) วิเคราะห์การผลิตและจำหน่ายโรตีสายไหม<br />ของชุมชน และ 3) พัฒนาผลิตภัณฑ์โรตีสายไหมร่วมสมัย ด้วยเครื่องมือวิศวกรสังคม การศึกษาสภาพปัญหา พบว่าชุมชนมีร้านขายโรตีสายไหมมาก แข่งขันสูง สินค้าไม่แตกต่างกัน ผู้บริโภคขาดการรับรู้และภักดีต่อตราสินค้า พิจารณาความสะดวกและราคาเป็นหลัก ประกอบกับร้านเห็นโอกาสขยายกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมถึงวัยรุ่น <br />และวัยทำงานเพื่อเพิ่มรายได้ แต่ขาดประสบการณ์และบุคลากรที่มีความรู้การตลาดสมัยใหม่ จึงเข้าร่วมโคงการวิศวกรสังคมกับมหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ฯ วิธีดำเนินการวิจัยใช้กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม <br />โดยชุมชนเป็นพื้นฐาน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ คือ เครื่องมือวิศวกรสังคมทั้ง 5 ได้แก่ ฟ้าประทาน นาฬิกาชีวิต ไทม์ไลน์พัฒนาการ ไทม์ไลน์กระบวนการ และ M.I.C. Model ผลการวิจัย 1) บริบทชุมชนศรีสรรเพชญ์ ตั้งอยู่บนเส้นทาง<br />ที่มุ่งสู่วัดพระศรีสรรเพชญ์ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีประชากร 200 ครัวเรือน ส่วนใหญ่มีรายได้หลักจากการเป็นพนักงานของโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัด ร่วมกับขายโรตีสายไหมเป็นของฝากในวันหยุด เป็นรายได้เสริมเฉลี่ยวันละ 800 -1,000 บาท 2) วิเคราะห์การผลิตและจำหน่ายโรตีสายไหม พบว่ากระบวนการทำแป้งโรตีสายไหมแป้งธัญพืช มี 5 ขั้นตอน ใช้เวลาผลิตรวม 24-33 นาที และจำหน่ายให้หมดภายใน 8 ชั่วโมง/วัน <br />และ 3) กระบวนการ ที่ถูกนำมาพัฒนาคือ การออกแบบให้ผลิตภัณฑ์แตกต่างจากคู่แข่ง ผลผลิตที่ได้จากการวิจัย ได้แก่ 1) สูตรทำแผ่นแป้งโรตี รสชาเขียวและรสโกโก้ ที่มีความร่วมสมัยสามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย <br />2) บรรจุภัณฑ์ใส่แผ่นแป้งโรตีเป็นถุงซิปล็อคช่วยยืดอายุได้ 3) โลโก้ร้าน “โรตีสายไหม ป้าตัวเล็ก”สร้างเอกลักษณ์ส่งเสริมการรับรู้และภักดีต่อตราสินค้า และ 4) เพิ่มช่องทางสั่งซื้อออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ผลลัพธ์ที่ได้ <br />คือชุมชนเกิดแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โรตีสายไหม และเกิดภาคีเครือข่ายชุมชนกับมหาวิทยาลัยราชภัฎ<br />วไลยอลงกรณ์ฯ ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือผู้ประกอบการชุมชน มีรายได้เพิ่มและมีความสามารถในการแข่งขัน<br />ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน</p> ศิริพงษ์ ฐานมั่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/279388 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของประเทศไทย ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/281265 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับ<br />โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของประเทศไทย <br />ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่างเป็นของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของประเทศไทย ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 428 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล แบบวัดความรู้สึกถึงการควบคุมชีวิต แบบวัดการสนับสนุนทางสังคมในองค์การ และแบบวัดความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง <br />การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า อำนาจแห่งตน (β = .51, p &lt; .01) และการสนับสนุนทางสังคมในองค์การ <br />(β = .39, p &lt; .01) สามารถร่วมกันพยากรณ์ความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 <br />ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของประเทศไทย ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ<br />โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ร้อยละ 69 (R<sup>2</sup> Adjusted = .69) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01</p> สมรรถพงศ์ ขจรมณี, ต้นสาย แก้วสว่าง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/281265 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ กรณีการดำเนินโครงการก่อสร้างประตูกั้นน้ำคลองประ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฯ ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/282078 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐในกรณีการดำเนินโครงการก่อสร้างประตูกั้นน้ำคลองประ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง 2) เพื่อวิเคราะห์ลักษณะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดการความขัดแย้งที่เหมาะสมในโครงการดังกล่าว การศึกษานี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากโครงการ ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน แกนนำคัดค้านในระดับชุมชน ตัวแทนภาคประชาชน องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น รวมทั้งสิ้น 24 ราย ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งมุ้งเน้นการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่มีความรู้ ประสบการณ์ และมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีศึกษาและใช้การวิเคราะห์เนื้อหาภายใต้กรอบแนวคิดของการศึกษาผ่านปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ในการวิเคราะห์ข้อมูล <br />ผลการศึกษา พบว่า ความขัดแย้งเกิดจากความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรมของชุมชน การขาดความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ การปกปิดข้อมูลข่าวสาร <br />และการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากทัศนคติของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐ รวมถึงความล้มเหลวในการดำเนินโครงการต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งทำให้การนำเสนอแนวทางจากส่วนกลางไม่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสร้างผลกระทบต่อชุมชน การเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการของประชาชนจึงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แม้ข้อเสนอของชุมชนในการยุติโครงการจะได้รับการสนับสนุน <br />แต่ยังยากที่จะประสบผลสำเร็จ การศึกษานี้สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการจัดการความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐในโครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในอนาคตได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต</p> ถวัลย์ ไทรงาม, บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ, อรุณรัตน์ จินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/282078 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 กลวิธีการตั้งฉายารัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรและกลวิธีการแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/282135 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์การใช้กลวิธีการตั้งฉายาและกลวิธีการแปลฉายาที่สื่อมวลชนไทยได้ตั้งให้กับรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลจากฉายาภาษาไทยจำนวน 10 ฉายา ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ไทยรัฐ และฉายาภาษาอังกฤษจำนวน 10 ฉายาจากเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ The Nation และอีก 10 ฉายาจาก Thai PBS World <br />ในการวิเคราะห์กลวิธีการตั้งฉายาภาษาไทย ได้ใช้แนวคิดการเล่นทางภาษา (Speech play) ของ Sherzer (2002) และพบกลวิธีในการตั้งฉายาจำนวนทั้งสิ้น 8 กลวิธี ได้แก่ การตัดและเพิ่มคำ การอ้างถึง การเล่นคำ การเน้นคำ การใช้คำทับศัพท์ การใช้สำนวน การใช้นามนัยและการใช้สัมผัสสระ ส่วนกลวิธีการแปลฉายาจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษนั้นได้ใช้กรอบแนวคิดของ Malone (1988, อ้างถึงในสุพรรณี ปิ่นมณี, 2561) ในการวิเคราะห์ข้อมูลและพบกลวิธีการแปลจำนวนทั้งสิ้น 5 กลวิธี ได้แก่ กลวิธี Equation กลวิธี Diffusion กลวิธี Reordering <br />กลวิธีการแปลแบบผสม และกลวิธีการแปลแบบอิสระซึ่งเป็นรูปแบบการแปลอื่นที่พบเพิ่มเติม ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่าชื่อมักถูกใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการตั้งฉายาและยังคงปรากฎอยู่แม้ต้องผ่านกระบวนการแปลไปสู่ภาษาอื่น นอกจากนั้น การใช้ส่วนหนึ่งของชื่อบุคคลหรือชื่อพรรคการเมืองเป็นองค์ประกอบหลักในการตั้งฉายามีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ฉายาที่ตั้งขึ้นจากชื่อพรรคการเมืองมักสะท้อนภาพลักษณ์ บทบาท และจุดยืนทางการเมืองของพรรคการเมืองทั้งพรรค ขณะที่ฉายาที่ตั้งขึ้นจากชื่อบุคคลมักมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมหรือการกระทำเฉพาะตัวบุคคล</p> จิตสุดา ละอองผล, นิชาภัทรชย์ รวิชาติ, วันทนี แสงคล้ายเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/282135 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษากระบวนการและผลการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในสถานศึกษาระดับประถมศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/280322 <p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการและผลการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ<br />ในสถานศึกษาระดับประถมศึกษา รวมถึงปัญหา อุปสรรค และปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ในการนำหลักสูตรดังกล่าวไปใช้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีทำให้การพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การวิจัยนี้จึงมุ่งสำรวจการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติเพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการกำหนดนโยบายการศึกษาต่อไป การศึกษาดำเนินการในสถานศึกษาระดับประถมศึกษาที่มีการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ<br />ใน 4 ภูมิภาค จำนวน 8 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และนักเรียน การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเตรียมความพร้อม ระยะการเก็บข้อมูล และระยะการวิเคราะห์และสรุปข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และประเด็นสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยมีดังนี้ <br /> 1. กระบวนการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ:ผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นผู้นำวิชาการมีความสำคัญมาก โรงเรียนส่วนใหญ่ (6 ใน 8 แห่ง) ตระหนักในการพัฒนาครูแต่ยังขาดความต่อเนื่องและวิธีที่หลากหลาย ครูใช้วิธีสอนและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับหลักการเพียงบางส่วน ครูและผู้บริหารขาดความเข้าใจการวัดประเมินผลฐานสมรรถนะ โรงเรียนต่างสังกัดทำงานและมีปัญหาแตกต่างกัน ชุมชนทางวิชาชีพเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาครู</p> <ol start="2"> <li>ผลการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ: ผู้เรียนเกิดสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะในระดับน่าพอใจ ผู้บริหารและครูเข้าใจบริบทและกระตือรือร้นมากขึ้น ผู้เรียนเรียนรู้นอกห้องเรียนและปฏิบัติจริงมากขึ้น</li> <li>ปัญหา อุปสรรค และปัจจัยสนับสนุน: ปัญหาในช่วงแรกคือการขาดความมั่นใจและความเข้าใจ หลังใช้หลักสูตร 1 ปี พบปัญหาการวัดผลไม่ชัดเจน การสอนข้ามศาสตร์ และการขาดแคลนครูผู้เชี่ยวชาญ ปัจจัยสนับสนุนได้แก่ ความรู้ความเข้าใจของบุคลากร เครือข่ายที่แข็งแกร่ง การมีส่วนร่วมของนักเรียน วิสัยทัศน์ <br />การบริหารจัดการ และข้อมูลพื้นฐานที่มีคุณภาพ</li> </ol> บังอร เสรีรัตน์, นาฏฤดี จิตรรังสรรค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/280322 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 บทเพลงโซนาตาสำหรับทูบาและเปียโน ผลงานการประพันธ์ของ พอล ฮินเดอมิธ: บทวิเคราะห์และวิธีการฝึกซ้อม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/279004 <p> การศึกษาบทประพันธ์เพลงโซนาตาสำหรับทูบาและเปียโน ผลงานการประพันธ์โดย <br />พอล ฮินเดอมิธ เป็นส่วนหนึ่งของการสำเร็จการศึกษาในระดับมหาบัณฑิตของผู้วิจัย บทเพลงนี้เป็นบทเพลงที่มีความสำคัญต่อทูบาเพราะว่าเป็นบทเพลงโซนาตาบทแรกของทูบาที่ถูกประพันธ์ขึ้น และมีความยากและความท้าทายในการบรรเลงที่สูง ทำให้ผู้วิจัยต้องการที่จะศึกษาบทเพลงชิ้นนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์บทเพลง เพื่อใช้ประกอบเป็นข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิตด้านการแสดงเดี่ยวทูบาของผู้วิจัย เนื้อหา<br />ในบทวิเคราะห์ประกอบไปด้วยการศึกษาข้อมูลชีวประวัติผู้ประพันธ์ ความเป็นมาของบทเพลง การวิเคราะห์เทคนิคในการบรรเลงซึ่งดำเนินการวิจัย โดยเริ่มจากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลงานวิจัย สิ่งพิมพ์ และแหล่งข้อมูลทางวิชาการทีเกี่ยวข้อง และทำการวิเคราะห์สังคีตลักษณ์และเทคนิคของการประพันธ์ จากนั้นได้จัดสรรวิธีการฝึกซ้อมและค้นหาแบบฝึกหัดที่เหมาะสม เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดจึงจัดทำสรุปและข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย <br />ในงานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยได้นำเสนอแง่มุมด้านการตีความ บทเพลง การฝึกซ้อมส่วนตัว วิธีการแก้ปัญหา และคัดเลือกแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับปัญหา เพื่อปรับใช้ในการวางแผนการซ้อม การเตรียมตัวเพื่อการแสดง และการบรรเลงร่วมกับนักเปียโน โดยจากการวิจัยได้ผลว่าบทเพลงนี้นั้นต้องให้ความสำคัญในการบรรเลงคู่เสียงในขั้นคู่ที่กว้าง <br />การบรรเลงเครื่องหมายการกำกับการออกเสียงที่กำหนดให้ถูกต้อง และความถูกต้องของการบรรเลงโน้ตประดับ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การแสดงที่มีมาตรฐาน โดยผู้วิจัยนั้นแนะนำให้ผู้อ่านระวังสิ่งที่กำกับไว้ในโน้ตและปฏิบัติตาม<br />ให้ถูกต้อง</p> ธีรพัฒน์ เดชะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/279004 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 THE INFLUENTIAL FACTORS OF THE INTENTION TO USE SHOPEE APPLICATION, COMPARISON BETWEEN BANGKOK AND NAKHON-RATCHASIMA, THAILAND https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/282132 <p>This research aims to study the factors affecting the intention to purchase products through the Shopee application of consumers. The case study compares two provinces in Thailand: Bangkok and Nakhon Ratchasima. The study uses the principles of the online marketing mix (6Ps) and the Howard-Sheth consumer behaviour model. Data collection was conducted using online questionnaires, with samples consisting of 400 Shopee application users from Bangkok and 400 Shopee application users from Nakhon Ratchasima. The study found that the online marketing mix factors affecting the intention to use the Shopee application differ between people in Bangkok and those in Nakhon Ratchasima. the research results came out, the accepted components of 6Ps online marketing by the participants from Bangkok was Promotion and Privacy. Meanwhile the Participants in Nakhon-Ratchasima accepted the component of Products and Place. In addition, the component of customers behaviour that was accepted by the participants from Bangkok was Attitude, Subject to norms, Confidence and Perception. While the Participants in Nakhon-Ratchasima only accepts the component of Confidence and Perception. Therefore, the analysis in this journal will discuss the factors impacting the intention to use the Shopee application and include recommendations for applying the research findings and suggestions for future research. Therefore, the data analysis in this journal will discuss the impact of factors affecting the intention to use the Shopee application, including recommendations for applying the research findings and suggestions for future research.</p> Supakorn Seehatrai, วัชรนันท์ ทองมา, ดนัยกฤต อินทุฤทธิ์, วินิตรา ลีละพัฒนา, ศิริพร กิรติการกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/282132 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 EFFECTS OF COOPERATIVE LEARNING USING LEARNING TOGETHER TECHNIQUE IN MODALITY AND RULE OF LAW COURSE ON LEARNING ACHIEVEMENT OF SEVENTH GRADE STUDENTS IN HENAN PROVINCE https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/276968 <p> This experimental research aimed to: 1) compare learning achievement before and after learning through learning together technique of cooperative learning, 2) compare learning achievement after learning through learning together technique of cooperative learning with the criterion set at 70 percent and 3) assess the student’s satisfaction on learning together technique of cooperative learning . The sample of this study was 30 students in Grade 7(1classroom) from Chuangyi School in Zhengzhou City , which was derived by using cluster random sampling method. The research instruments were as follows: 1)The appropriateness of the lesson plans were based on learning together technique of cooperative learning at very high level (<em>M</em>=4.52, <em>SD</em>= 0.5), 2) multiple choice for learning achievement with a difficulty (p=0.33-0.77)and discrimination (<em>r</em>=0.2-0.67)and reliability index of .79, and 3) a student satisfaction questionnaire with a reliability index of 0.72. The statistics used to analyze data were mean, standard deviation, t-test for dependent samples and t-test for one sample.</p> <p> The results revealed that 1) after using the Learning together technique <br />of cooperative learning, the Learning Achievement ability after learning through Learning together technique of cooperative learning (<em>M</em>=22.63, <em>SD</em>=3.85) than before (<em>M</em>=17.05, <em>SD</em>=3.62 ,) at statistically significant level of .01( <em>t</em> = 10.636, <em>p</em> &lt; .01); 2) the learning achievement was higher than the determined criterion of 70% at a significance level of .01 (<em>M</em>=22.63, <em>SD</em>=3.85, <em>t</em> = 2.321, <em>p</em>&lt; .01); and 3) the students’ satisfaction after learning through Learning together technique of cooperative learning was at a higher level. (<em>M</em>=4.22, <em>SD</em>=0.75 ,).</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">,).</span></p> Qiangqiang Li, Wassaporn Jirojphan, Kanreutai Klangphahol ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/276968 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 EFFECTS OF THE PROBLEM-BASED LEARNING ON THE MATHEMATICS PROBLEM-SOLVING ABILITY OF THE FOURTH-GRADE PRIMARY SCHOOL STUDENTS OF SUNSHINE PRIMARY SCHOOL IN ZHONGYUAN DISTRICT, ZHENGZHOU CITY, HENAN PROVINCE https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/276969 <p><strong> </strong>The objectives of this study were to: 1) compare students' mathematics problem-solving ability before and after learning through problem-based learning, 2) compare students' mathematics problem-solving ability after learning through PBL with the determined criterion set at 70%. and 3) assess students' satisfaction after learning problem-based learning. The sample of this study was 30 students in Grade 4(1classroom) from Sunshine Primary School, Zhongyuan District, Zhengzhou City, Henan Province, which was derived by using cluster random sampling method. The research instruments were as follows: 1) the appropriateness of the lesson plans were based on PBL at very high level (M=4.60, SD= 0.54), 2) mathematics problem-solving ability test with a difficulty (p=0.40-0.77) and discrimination (r=0.20-0.40) with a reliability of .71, and 3) a student satisfaction questionnaire with a reliability of 0.73. The statistics used to analyze data were mean, standard deviation, t-test for dependent samples and t-test for one sample.</p> <p> The results of this study were as follows:1) after using problem-based learning teaching method for the fourth grade, students' mathematics problem-solving ability (<em>M</em>=22.07, SD=1.38)are higher than before (<em>M</em>=15.4, <em>SD</em>= 1.59) with a statistically significant .01 level(<em>t<sub>29</sub></em>=25.25, <em>p</em>= .001),2) students' mathematics problem-solving ability was higher than the 70% at a significance level of .01 (<em>M</em>=22.07, <em>SD</em>= 1.38 ,<em>t<sub>29</sub></em>=4.37, <em>P</em>=.001) .`3) the students’ satisfaction after learning through problem-based learning teaching method was at (<em>M</em>=4.02, <em>SD</em>=0.72).</p> <p><strong> </strong></p> Yanpeng LI, Kanreutai Klangphahol, Wassaporn Jirojphan ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/276969 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการด้านการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ตามกรอบอ้างอิง CEFR ของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/277076 <p>นับแต่ปี 2559 นโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ส่งผลให้สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งกำหนดให้นักศึกษามีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ B1 ตามกรอบมาตรฐานสากลที่ใช้ในการระบุความสามารถทางภาษา<br />ทั้ง 4 ทักษะ ประกอบด้วยทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า CEFR ซึ่งมาจาก Common European Framework of Reference for Languages (คณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2559) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ได้กำหนดแนวทางการบริหารงานวิชาการ อาทิ การออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องกับเกณฑ์ CEFR การพัฒนาศักยภาพของอาจารย์ การประเมินผลตามมาตรฐานสากล และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (เบญจมิน บุญจริงและคณะ, 2564) นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอน (OECD, 2020) รวมถึงการสำรวจ วิเคราะห์ และพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษตามกรอบอ้างอิง CEFR ที่ครอบคลุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการบริหารจัดการ (ธณพร โปมิน และประดิษฐ์ ศรีโนนยาง, 2563) บทความนี้จึงมุ่งรวบรวมและสังเคราะห์แนวทางการบริหารงานวิชาการจากสถาบันอุดมศึกษาที่ประสบผลสำเร็จในการยกระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ<br />ในระดับ B1 ให้แก่นักศึกษา เพื่อนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่สามารถประยุกต์ใช้ตามบริบทของแต่ละสถาบัน <br />โดยคำนึงถึงความยืดหยุ่น ความยั่งยืน และประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษา<br />ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ผลจากการรวบรวมและการสังเคราะห์แนวทางการบริหารงานดังกล่าวพบว่ามหาวิทยาลัยที่มีผลสัมฤทธิ์ทางภาษาอังกฤษของนักศึกษาที่เป็นไปตามเป้าหมาย CEFR มีองค์ประกอบด้วยกัน <br />3 ส่วน ประกอบด้วยการที่มหาวิทยาลัยมอบหมายภารกิจการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไปยังหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษหรือต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นประจำที่นอกเหนือจากการใช้ภาษาอังกฤษในการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ศูนย์ภาษา สถาบันภาษา และงานวิเทศสัมพันธ์ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยได้เน้นให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดกิจกรรมที่หลากหลาย โดยต้องมีเกณฑ์การประเมินที่เป็นไปตามเกณฑ์ CEFR อย่างเคร่งครัด <br />โดยเสริมด้วยการใช้ online platform และผู้สอนหรือวิทยากรที่มีชื่อเสียงเพื่อดึงดูดความสนใจ และเอื้อให้สาขาวิชานำแนวทางการจัดกิจกรรมไปบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้ของสาขาวิชา รวมถึงการสร้างข้อสอบมาตรฐานตามกรอบ CEFR</p> ฤทัย สำเนียงเสนาะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdihsjournal/article/view/277076 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700