https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/issue/feed วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-10-25T10:06:54+07:00 ผศ.ดร.ปุณยนุช นิลแสง rdi_journalsci@vru.ac.th Open Journal Systems <p>เป็นวารสารเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานบทความวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สู่นักวิจัยและผู้สนใจทั่วไป ส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ ประสบการณ์ในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างสถาบัน ได้แก่ อาหาร วิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีสารสนเทศ <br />ISSN 2351-0366 ( Print )</p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/264877 ความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อทางด้านสุขภาพกับการเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชน จังหวัดชัยภูมิ 2023-07-24T15:25:30+07:00 เดชาวัต ครองสมบัติ deachawat.k@kkumail.com ปกกมล เหล่ารักษาวงษ์ pokkla@kku.ac.th นาฎนภา หีบแก้ว ปัดชาสุวรรณ์ natnpa@kku.ac.th <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แบบแผนความเชื่อทางด้านสุขภาพ (Health Belief Model; HBM) คือทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของบุคคลที่แสวงหาแนวทางเพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแบบองค์รวมให้เป็นไปได้ในทิศทางที่ดีและเหมาะสมซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิธีที่สามารถลดความรุนแรงและ<br>การเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ที่ดีคือการรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันโรค แต่พบว่าประชาชนบางกลุ่มยังมีความลังเลใจในการที่จะเข้ารับวัคซีน ซึ่งหากนำ HBM มาใช้จะช่วยให้ประชาชนปรับพฤติกรรมการเข้ารับวัคซีนเพิ่มขึ้นได้ การศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อัตราการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น <br>2) ระดับ HBM และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่าง HBM กับการเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งกลุ่มตัวอย่างคือ ประชาชนจังหวัดชัยภูมิ 1,872 ราย สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนและสุ่มอย่างง่าย ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ระหว่างเดือน มกราคม - เมษายน 2566 และทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและใช้สถิติถดถอยโลจิสติกอย่างง่าย</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า อัตราการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ร้อยละ 91.24 และระดับการรับรู้ความเชื่อทางด้านสุขภาพโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อจำแนกกรายพบว่าด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยง และการรับรู้ความสามารถของตนเอง อยู่ในระดับมาก และพบว่าการรับรู้โอกาสเสี่ยงของการติดเชื้อ (OR = 2.11 , 95%CI = 1.08-4.12) การรับรู้ประโยชน์ (OR = 3.64 , 95%CI = 2.04-6.48) การรับรู้อุปสรรค (OR = 1.40 , 95%CI = 0.76-2.58) และการรับรู้ความสามารถของตนเอง (OR = 1.30 , 95%CI = 0.56-2.97) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า หน่วยงานรัฐควรสร้างแนวทางและพัฒนาช่องทางการสื่อสารเพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/261334 การพัฒนาผลิตภัณฑ์บิสกิตจากแป้งลูกเดือย 2023-01-04T14:13:00+07:00 สินีนาถ สุขทนารักษ์ sineenart@vru.ac.th ศรัญญา วอขวา saranyaworwhwa@gmail.com <p>การพัฒนาผลิตภัณฑ์บิสกิตจากแป้งลูกเดือยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราส่วนการใช้แป้งลูกเดือยทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์บิสกิตทั้งหมด 5 อัตราส่วน ได้แก่ อัตราส่วนส่วนระหว่างแป้งสาลีต่อแป้งลูกเดือยที่ 100:0 (ชุดควบคุม), 75:25, 50:50, 25:75 และ 0:100 โดยน้ำนหนัก จากผลการทดสอบทางประสาทสัมผัส พบว่า แป้งลูกเดือยสามารถทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์บิสกิตได้สูงสุด คือ อัตราส่วนแป้งสาลีต่อแป้งลูกเดือยที่ 50:50 ซึ่งคะแนนความชอบในคุณลักษณะด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ และความชอบโดยรวมไม่มีความแตกต่างกับบิสกิตที่มีอัตราส่วนระหว่างแป้งสาลีต่อแป้งลูกเดือยที่ 100:0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&gt;0.05) แต่คะแนนการยอมรับทางด้านเนื้อสัมผัส พบว่าอัตราส่วนแป้งสาลีต่อแป้งลูกเดือยที่ 50:50 มีความแตกต่างกับบิสกิตที่มีอัตราส่วนระหว่างแป้งสาลีต่อแป้งลูกเดือยที่ 100:0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) จากนั้นนำผลิตภัณฑ์บิสกิตทุกอัตราส่วนไปวัดค่าสีและเนื้อสัมผัส (Hardness) พบว่า เมื่อปริมาณแป้งลูกเดือยเพิ่มขึ้น จะส่งผลค่าความสว่าง (L*) และค่า Hardness โดยมีแนวโน้มลดลด บิสกิตมีสีคล้ำขึ้น และมีค่าความแข็งลดลง ซึ่งอัตราส่วนแป้งสาลีต่อแป้งลูกเดือยที่ 50:50 บิสกิตจะมีความกรอบและไม่แข็งเกินไป</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/264861 การศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากสถานที่กำจัดมูลฝอย กรณีศึกษา: สถานที่กำจัดมูลฝอยองค์การบริหารส่วนตำบลนาพู่ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี 2023-07-27T10:33:24+07:00 อมรรัตน์ ศรีอ่อนแสง amornrat.sr@kkumail.com ฤทธิรงค์ จังโกฏิ rittirong@kku.ac.th สุทิน ชนะบุญ sutin@scphkk.ac.th นัฐชานนท์ เขาราธ knathc@kku.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากสถานที่กำจัดมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลนาพู่ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้ที่อาศัยบริเวณโดยรอบสถานที่กำจัดมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนตำบลนาพู่ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารจัดการมูลฝอยในพื้นที่ตำบลนาพู่ มีการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ใน 4 มิติ ได้แก่ มิติทางกาย มิติทางจิตใจ มิติทางสังคม และมิติทางจิตวิญญาณ และด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้แบบสอบถามและการสนทนากลุ่มเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างจำนวน 256 คน การสนทนากลุ่มย่อย จำนวน 2 ครั้ง รวมจำนวน 31 คน และตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อมสถานที่กำจัดมูลฝอย ผลการศึกษาพบว่า โดยภาพรวมทั้งกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามและกลุ่มสนทนากลุ่มย่อยไม่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพมากนักจากสถานที่กำจัดมูลฝอย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในส่วน ผลกระทบเชิงบวก พบว่า มิติทางจิตใจ ประชาชนรู้สึกพึงพอใจที่องค์การบริหารส่วนตำบลนาพู่ จัดการปัญหาทุกครั้งที่มีเหตุร้องเรียนเข้ามาทันที ร้อยละ 42.97 มีค่าเฉลี่ยในภาพรวม 2.86 (S.D.=1.27) อยู่ในระดับปานกลาง ผลกระทบเชิงลบ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ด้านกลิ่นเหม็น ร้อยละ 51.95 มีค่าเฉลี่ยในภาพรวม 1.98 (S.D.=1.31) อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันน้อย จากการสนทนากลุ่มร่วมกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มาซึ่งมาตรการป้องกันและข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการเฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน และการสร้างความตระหนักและความเข้าใจในการจัดการมูลฝอย เพื่อลดปริมาณการเกิดมูลฝอยในชุมชนและรณรงค์ให้ความรู้ แนวคิดหลัก 3R คือ Reduce Reuse Recycle มีแผนทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและมีการติดตามผล โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหามูลฝอยในพื้นที่ </p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/263187 การจำลองระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ของอาคารในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 2023-08-09T11:38:18+07:00 ประยุทธ์ ฤทธิเดช prayuth.rit@dpu.ac.th ศุภรัชชัย วรรัตน์ vorarat@dpu.ac.th อำนาจ ผดุงศิลป์ aumnad.phdu@kmutt.ac.th <p>ระบบพลังงานและสมรรถนะการใช้พลังงานในอาคารมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อวิเคราะห์การจัดหาพลังงานโดยมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยใช้แบบจำลอง PVSYST ในการคำนวณและประเมินระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคา จากการสำรวจอาคารทั้งหมดจำนวน 22 อาคาร พบว่ามีอาคารจำนวน 10 อาคารที่สามารถติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น การบังเงาของอาคาร ไม่เป็นอาคารลักษณะเฉพาะ และพื้นที่หลังคาไม่เหมาะสม เป็นต้น จากการศึกษาพบว่าหากมีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จะได้กำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุด 992 กิโลวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1,379,477.70 หน่วยต่อปี ซึ่งถ้าคิดเป็นมูลค่าของเงินที่ประหยัดได้ในแต่ละปีจะลดลงได้ประมาณ 4,768,470.42 บาทต่อปี โดยใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 32.736 ล้านบาท และมีระยะเวลาคืนทุน 7 ปี 3 เดือน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 651.742 พันตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ผลการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงระบบพลังงานร่วมกับมาตรการทางด้านพลังงานอื่นๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกรณีศึกษา นอกจากนั้นอาคารสถานศึกษาอื่น ๆ ยังสามารถประยุกต์ใช้งานวิจัยนี้เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/261696 การพัฒนากระบวนการผลิตบ้องแจ่วหม้อเพื่อยกระดับคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษา 2023-06-13T15:54:04+07:00 นภาพันธ์ โชคอำนวยพร napapan.c@chandra.ac.th <p>ผลิตภัณฑ์บ้องแจ่วหม้อเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพื้นถิ่นของคนในชุมชนลาวเวียงเนินขาม จังหวัดชัยนาทโดยการนำส่วนผสมของแจ่วหม้อหมูมาทำการยัดในไส้หมูก่อนทำให้สุก งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์บ้องแจ่วหม้อเพื่อยกระดับคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษาเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเก็บผลิตภัณฑ์เพื่อรอการจำหน่ายทั้งภายในชุมชนและแหล่งท่องเที่ยว โดยศึกษารูปแบบของการบรรจุในสภาวะปกติ สภาวะสุญญากาศ และสภาวะสุญญากาศร่วมกับการฆ่าเชื้อด้วยวิธีพาสเจอไรซ์ที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส นาน 30 วินาที นำผลิตภัณฑ์ไปวิเคราะห์คุณภาพทางกายภาพ เคมี จุลชีววิทยาและทดสอบการยอมรับของผู้บริโภค จากผลการศึกษาพบว่า เมื่ออายุการเก็บรักษานานขึ้นผลิตภัณฑ์บ้องแจ่วหม้อที่บรรจุในสภาวะสุญญากาศและผ่านการพาสเจอไรซ์มีค่าความเป็นกรด-ด่างลดลง ในขณะที่ค่าความแข็งเพิ่มขึ้นและค่า Thiobarbituric acid (TBA) เพิ่มขึ้นในระดับค่าไม่เกินกว่า 2 mg MDA/kg ส่วนค่าคุณภาพทางจุลชีววิทยาตลอดระยะเวลาการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดโดยที่จำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมดต้องไม่เกิน 1 × 10<sup>4</sup> โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัม ยีสต์และราต้องไม่เกิน 1 × 10<sup>2 </sup>โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัม อีกทั้งผู้บริโภคยังคงให้การยอมรับผลิตภัณฑ์มากกว่าร้อยละ 50 ซึ่งการบรรจุผลิตภัณฑ์บ้องแจ่วหม้อในรูปแบบสุญญาการ่วมกับการพาสเจอไรซ์และเก็บที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ได้นานถึง 28 วัน เมื่อเทียบกับตัวอย่างที่บรรจุภายใต้สภาวะปกติที่เก็บได้ 15 วัน โดยที่ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/263515 การออกแบบและพัฒนาส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งานสำหรับคัดกรองโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน 2023-08-21T11:29:53+07:00 ภักศจีภรณ์ ขันทอง phaksachiphonk@gmail.com กชกร เจตินัย kotchakorn.j@ubru.ac.th ปกรณ์ กัลปดี pakorn.k@ubru.ac.th สุภารัตน์ สุขโท suparat.s@ubru.ac.th สุรศักดิ์ สุขสาย surasak999@hotmail.com <p>แอปพลิเคชันได้ถูกพัฒนาให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้ประโยชน์ในหลายมิติ เช่น การคัดกรองโรค ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ยังขาดประสบการณ์โดยเฉพาะในกลุ่มโรคที่มีความใกล้เคียงกัน งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันจากผู้เชี่ยวชาญและประเมินความพึงพอใจส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งาน (User interface) เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาในรูปแบบการศึกษาคุณภาพและเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม แบ่งออกเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน และกลุ่มนักศึกษาวิชาชีพทางการแพทย์ (กายภาพบำบัดและแพทย์แผนไทย) จำนวน 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเชิงคุณภาพ คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (Indept-interview) กับผู้เชี่ยวชาญนำไปพัฒนาเป็นต้นแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ด้วยโปรแกรม Visual studio และ Xamarin เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเชิงปริมาณ คือ แบบประเมินความพึงพอใจที่สำรวจในกลุ่มนักศึกษาวิชาชีพทางการแพทย์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป</p> <p> ผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีข้อมูลที่แตกต่างจากการศึกษาที่ผ่านมาแต่เป็นประโยชน์และมีความเป็นไปได้ในการเขียนโปรแกรมเพื่อพัฒนาเป็นแอปพลิเคชัน การศึกษานี้ได้ออกแบบหน้าจอเมนูใช้งานไว้ 3 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป การซักประวัติ และการตรวจร่างกาย ผลประเมินความพึงพอใจในอาสาสมัคร พบว่า ทุกหัวข้อมีความพึงพอใจในระดับดีมาก โดยหัวข้อที่มีความพึงพอใจสูงที่สุด คือ การใช้ภาษา มีคะแนนเฉลี่ย 4.35 ± 0.69 คะแนน ส่วนหัวข้อที่มีความพึงพอใจต่ำที่สุด คือ ความสวยงาม มีคะแนนเฉลี่ย 3.92 ± 1.02 คะแนน ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมมี 3 ด้าน คือ การปรับปรุงส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ การเพิ่มรายละเอียดคำถาม และความมีประโยชน์ในการใช้งาน ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสนใจต่อการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาและนำแอปพลิเคชันไปช่วยคัดกรองผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนต่อไป</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/265399 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมหินฝนทองจากแป้งข้าวหอมนิลเสริมผงอัลมอนด์ 2023-08-05T21:43:50+07:00 วรารัตน์ สานนท์ wararat@webmail.npru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณแป้งข้าวหอมนิลทดแทนแป้งข้าวเจ้าบางส่วนในขนมหินฝนทอง และศึกษาปริมาณผงอัลมอนด์ในขนมหินฝนทองที่มีผลต่อลักษณะทางประสาทสัมผัสและกายภาพ <br />ผลการศึกษาปริมาณแป้งข้าวหอมนิลทดแทนแป้งข้าวเจ้าที่ระดับร้อยละ 0, 10, 20 และ 30 โดยน้ำหนัก พบว่าการทดแทนที่ร้อยละ 20 ได้รับคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสโดยรวมมากที่สุด มีค่าความเป็นสีแดง (a*) เพิ่มขึ้น และค่าความเป็นสีเหลือง (b*) ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ส่งผลให้ขนมหินฝนทองมีสีเข้มขึ้น จากนั้นทำการศึกษาปริมาณผงอัลมอนด์ในผลิตภัณฑ์ขนมหินฝนทองแป้งข้าวหอมนิลที่ร้อยละ 0, 10, 20 และ 30 โดยน้ำหนัก พบว่าสูตรที่ได้รับคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสมากที่สุด คือ ร้อยละ 20 ได้รับคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสโดยรวมมากที่สุด มีค่าความสว่าง (L*) และความแข็งลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) เมื่อนำผลิตภัณฑ์ไปสำรวจการยอมรับของผู้บริโภค พบว่ามีค่าคะแนนความชอบด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ที่คะแนน 7.66, 7.76, 8.14, 8.16, 7.80 และ 8.20 คะแนน ตามลำดับ ขนมหินฝนทองแป้งข้าวหอมนิลเสริมผงอัลมอนด์สูตรดังกล่าวพบว่ามีปริมาณคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และใยอาหารร้อยละ 60.98, 6.93, 10.60 และ 1.84 ตามลำดับ มีปริมาณ<br />แอนโธไซยานิน 213.50 µg/g </p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/261911 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากสถานการณ์ระบาด ของโรคโควิด-19 ของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 2023-08-15T10:51:17+07:00 อัษฎาวุฒิ โยธาสุภาพ aussadawut.yo@vru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาพตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากสถานการณ์ระบาดโรคโควิด-19 และ 2) วิเคราะห์หาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากสถานการณ์ระบาดโรคโควิด-19 ของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 270 คน โดยคัดเลือกตัวอย่างโดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในช่วงเดือน สิงหาคม ถึง ตุลาคม 2565 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาสถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสถิติการทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด -19 อยู่ในระดับดี ( = 2.86, S.D = 0.22) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากสถานการณ์ระบาดโรคโควิด -19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศ (p= 0.001) อายุ (r= -0.130, p=0.033) รายได้ (r= 0.171, p=0.005) โรคเบาหวาน (p= 0.001) ความรู้เกี่ยวกับโรค โควิด -19 (r= 0.810, p= 0.0019) ทัศนคติต่อการป้องกันโรคโควิด -19 (r= 0.215, p= 0.001) การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคโควิด -19 (r= 0.434, p= 0.001) การรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันโรคโควิด -19 (r= 0.214, p=0.001) การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรด้านสุขภาพ (r= 0.214, p=0.001) การได้รับคำแนะนำจากบุคลากรสาธารณสุข (r= 0.310, p=0.001) การได้รับการกระตุ้นเตือนจากสมาชิกในครอบครัว (r= 0.411, p=0.001) ผลการศึกษานี้สามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อโควิด -19 และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่ดีภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิค -19</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/261722 การพัฒนาแผ่นชิ้นไม้อัดจากเศษกิ่งไม้ต้นมะยงชิดเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมแนวคิดขยะเหลือศูนย์ 2023-06-13T14:03:35+07:00 กิตติพันธ์ บุญโตสิตระกูล kittiphan.b@rmutp.ac.th ปราโมทย์ วีรานุกูล pramot.w@rmutp.ac.th อิทธิ ผลิตศิริ itthi.p@rmutsb.ac.th กิตติพงษ์ สุวีโร kittipong.s@en.rmutt.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแผ่นชิ้นไม้อัดจากเศษกิ่งไม้ต้นมะยงชิดสำหรับใช้ในงานวัสดุตกแต่ง โดยทำการออกแบบส่วนผสมของเศษกิ่งไม้ต้นมะยงชิดและกาวชนิดไอโซไซยาเนต (pMDI) ที่แตกต่างกัน <br />จำนวน 6 อัตราส่วน อัดขึ้นรูปเป็นแผ่นชิ้นไม้อัด ขนาด 20 x 20 ตารางเซนติเมตร หนา 6 มิลลิเมตร ใช้ความร้อน 150 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 7 นาที ทดสอบคุณสมบัติตามมาตรฐาน มอก.876-2547 เรื่องแผ่นชิ้นไม้อัดชนิดราบ จากผลการทดสอบพบว่า แผ่นชิ้นไม้อัดจากเศษกิ่งไม้ต้นมะยงชิดที่เหมาะสำหรับนำไปใช้เป็นวัสดุตกแต่ง คือ แผ่นชิ้นไม้อัดที่ควบคุมความหนาแน่นประมาณ 600 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ผสมกาวชนิดไอโซไซยาเนต ร้อยละ 10 ใช้ขนาดเศษกิ่งไม้ต้นมะยงชิดไสหนา 0.6 – 0.8 มิลลิเมตร แผ่นชิ้นไม้อัดเทียมดังกล่าวจะมีค่าความหนาแน่นประมาณ 598.65 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ความชื้นร้อยละ 4.35 การพองตัวตามความหนา ร้อยละ 5.85 ความต้านทานแรงดัด 6.55 เมกะพาสคัล มอดุลัสยืดหยุ่น 425.65 เมกะพาสคัล และความต้านทานแรงดึงตั้งฉากกับผิวหน้า 0.36 เมกะพาสคัล</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/262010 การเปรียบเทียบวิธีการพยากรณ์จำนวนนักศึกษาแรกเข้า คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2023-06-30T13:10:30+07:00 คชินทร์ โกกนุทาภรณ์ kachin@vru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบวิธีการพยากรณ์ จำนวนนักศึกษาแรกเข้าคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2540 ถึง ปีการศึกษา 2565 จำนวน 26 ค่า ผู้วิจัยแบ่งข้อมูลออกเป็นสองชุด โดยชุดที่ 1 จำนวน 20 ค่า เริ่มตั้งแต่ ปีการศึกษา 2540 ถึง ปีการศึกษา 2559 สำหรับเปรียบเทียบหาตัวแบบพยากรณ์ โดยงานวิจัยนี้ใช้วิธีการพยากรณ์ คือ วิธีบอกซ์-เจนกินส์ วิธีปรับให้เรียบเอ็กซ์โพเนนเซียลแบบโฮลท์ และวิธีการทำให้เรียบแบบเอกซ์โพเนนเชียลที่มีแนวโน้มแบบแดม ข้อมูลชุดที่ 2 ตั้งแต่ปีการศึกษา 2560 ถึง ปีการศึกษา 2565 จำนวน 6 ค่า สำหรับการเปรียบเทียบหาวิธีการพยากรณ์ที่เหมาะสมที่สุดโดยใช้เกณฑ์ค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (<em>RMSE</em>) และค่าเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (<em>MAPE</em>) ที่ต่ำที่สุด ผลการวิจัยพบว่าภายใต้เกณฑ์ค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (<em>MAPE</em>) วิธีการทำให้เรียบแบบเอกซ์โพเนนเชียลที่มีแนวโน้มแบบแดมเป็นวิธีการพยากรณ์ที่มีความเหมาะสมมากที่สุด ขณะที่ภายใต้เกณฑ์ค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (<em>RMSE</em>) วิธีบอกซ์-เจนกินส์ ARIMA (0,1,0) เป็นวิธีการพยากรณ์ที่มีความเหมาะสมมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ค่าพยากรณ์ของทั้งสองวิธี มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ </p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/261593 การผลิตขนมขบเคี้ยวเสริมผงแคลเซียมเสริมกระดูกปลาแซลมอนโดยกระบวนการเอ็กซ์ทรูชัน 2023-08-05T16:31:48+07:00 ภาพิมล ประจงพันธ์ papimon.p@mail.rmutk.ac.th ลลิตา ปานแก้ว lalita.p@mail.rmutk.ac.th รังสิตา จันทร์หอม rangsita.c@nsru.ac.th <p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของผงกระดูกปลาแซลมอน และศึกษาองค์ประกอบทางเคมี คุณลักษณะทางเคมี-กายภาพ และทางประสาทสัมผัสของขนมขบเคี้ยวที่เสริมผงกระดูกปลาแซลมอน จากการศึกษาพบว่าผงกระดูกปลาแซลมอนที่ได้ 100 กรัม มีปริมาณความชื้นเท่ากับร้อยละ 1.58 พลังงานทั้งหมดเท่ากับ 371.08 กิโลแคลอรี ไขมันทั้งหมดเท่ากับร้อยละ 28.64 โปรตีนเท่ากับร้อยละ 26.75 แคลเซียมเท่ากับ 16,684 มิลลิกรัม และโซเดียมเท่ากับ 241.99 มิลลิกรัม เมื่อนำไปเสริมลงในสูตรขนมขบเคี้ยวสูตรมาตรฐานที่ได้ร้อยละ 10, 20 และ 30 พบว่าสูตรที่เติมผงกระดูกปลาแซลมอนร้อยละ 10 มีคะแนนประเมินคุณลักษณะทางประสาทสัมผัสจากผู้ทดสอบจำนวน 50 คน สูงที่สุดในทุกด้านและมีความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) โดยประกอบไปด้วยแป้งข้าวโพดบดหยาบร้อยละ 57.69 แป้งข้าวเจ้า ร้อยละ 34.61 น้ำตาลทรายร้อยละ 3.8 น้ำมันพืชร้อยละ 2.89 แคลเซียมคาร์บอเนตร้อยละ 0.96 และผงกระดูกปลาแซลมอนร้อยละ 10 ผลการศึกษาคุณลักษณะทางเคมี-กายภาพพบว่าค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) เท่ากับ 6.67±0.01 ปริมาณน้ำอิสระ (a<sub>w</sub>) เท่ากับ 0.48 ค่าสี L* เท่ากับ 82.51±0.60 ค่า a* 2.90±0.61 และ b* เท่ากับ 31.03±1.48 คุณลักษณะเนื้อสัมผัสค่าความแข็ง เท่ากับ 1484±20.51 กรัม และค่าความกรอบเท่ากับ 1395±2.83 กรัม องค์ประกอบทางเคมีของผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวเสริมผงกระดูกปลาแซลมอนที่ได้ 100 กรัม ได้แก่ ปริมาณความชื้นร้อยละ 6.97 พลังงานทั้งหมด 383.23 กิโลแคลอรี โปรตีนร้อยละ 7.75 คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 74.04 แคลเซียม 1,830 มิลลิกรัม และโซเดียม 25.60 มิลลิกรัม</p> <p> </p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/261596 การศึกษาคุณลักษณะทางกายภาพ-เคมีของผลิตภัณฑ์ผงโรยข้าวโดยใช้เห็ดนางฟ้าทดแทนเนื้อปลา เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ 2023-08-15T11:40:02+07:00 นิตยา ภูงาม nittaya.ph@rmuti.ac.th สุดารัตน์ สุการี sudarat.sk@rmuti.ac.th ศุภลักษณ์ เกตุตากแดด supalug.ka@rmuti.ac.th วีรเวทย์ อุทโธ weerawate@gmail.com เจนจิรา พกาวัลย์ janejira_p@rmutt.ac.th ณัฎวลิณคล เศรษฐปราโมทย์ koonjip@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทดแทนเห็ดนางฟ้าในผลิตภัณฑ์ผงโรยข้าวจากเนื้อปลา ในอัตราส่วนร้อยละ 0, 10, 20 และ 30 ตามลำดับ จากนั้นทำการคัดเลือกสูตรที่เหมาะสมด้วยวิธีการวัดคุณภาพ ได้แก่ ทดสอบทางประสาทสัมผัสในคุณลักษณะด้าน สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ค่าสี (ค่าความสว่าง (L*), ค่าความเป็นสีแดง (a*) และค่าความเป็นสีเหลือง (b*)) ค่าความชื้น ปริมาณน้ำอิสระ ค่าเพอร์ออกไซด์ และค่า Acid value ของผลิตภัณฑ์ผงโรยข้าวทั้ง 4 สูตร พบว่า สูตรที่ได้คะแนนในการยอมรับทางประสาทสัมผัสมากที่สุด คือ ผงโรยข้าวสูตรทดแทนเห็ดนางฟ้า ร้อยละ 30 โดยได้คะแนนความชอบด้านสี กลิ่น และความชอบโดยรวม เท่ากับ 7.53±0.15, 8.21±0.20 และ7.83±0.11 ตามลำดับ จากการวิเคราะห์คุณภาพค่าสี พบว่า ค่า L*, a* และ b* เท่ากับ 28.68±1.01, 2.63±1.09 และ3.25±1.05 มีค่าสูงกว่าสูตรทดแทนอื่น ๆ จากผลการวิเคราะห์คุณภาพพิจารณาจากการยอมรับของผู้บริโภค และค่าสีของผลิตภัณฑ์ได้คัดเลือกสูตรทดแทนเห็ดนางฟ้า ร้อยละ 30 มาวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ปริมาณโปรตีน ไขมัน เถ้า เยื่อใย คาร์โบไฮเดรต สารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (ร้อยละ ABTS) พบว่า ปริมาณโปรตีน ไขมัน เถ้า เยื่อใย เท่ากับ ร้อยละ 8.47±0.23, 2.88±0.18, 3.43±0.21 และ 5.43±0.21 ตามลำดับ และการวิเคราะห์สารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เท่ากับ 2079±0.15 มิลลิกรัม และร้อยละ 60.11±0.11 ตามลำดับ</p> 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/268580 ปกวารสาร 2023-10-25T09:47:46+07:00 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ rdi_journalsci@vru.ac.th 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/268581 ปกใน 2023-10-25T09:50:42+07:00 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ rdi_journalsci@vru.ac.th 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/268582 บทบรรณาธิการ 2023-10-25T09:51:59+07:00 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ rdi_journalsci@vru.ac.th 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/268583 สารบัญ 2023-10-25T09:53:23+07:00 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ rdi_journalsci@vru.ac.th 2023-10-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023