https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/issue/feed
วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2025-04-30T22:38:03+07:00
อาจารย์ ดร.ศิริวรรณ พลเศษ
rdi_journalsci@vru.ac.th
Open Journal Systems
<p>เป็นวารสารเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานบทความวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สู่นักวิจัยและผู้สนใจทั่วไป ส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ ประสบการณ์ในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างสถาบัน ได้แก่ อาหาร วิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วิศวกรรมศาสตร์สาขาอื่นๆ และเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />ISSN: 3027-7353 (Online)</p> <p> </p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/266690
ผลของการทดแทนแป้งสาลีด้วยแป้งข้าวกล้องงอกและผงจิ้งหรีดต่อคุณสมบัติทางเคมี กายภาพ และประสาทสัมผัสในมัฟฟินช็อกโกแลต
2023-10-27T11:10:33+07:00
หิรัณย์ พิเศษตระกูล
hirun.pi@ku.th
จินดามณี แซ่ตั้ง
jindamanee.sa@ku.th
ปาริสุทธิ์ เฉลิมชัยวัฒน์
fagrpsch@ku.ac.th
ดวงกมล แสงธีรกิจ
duangkamon@webmail.npru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการทดแทนแป้งสาลีด้วยแป้งข้าวกล้องงอกและผงจิ้งหรีดต่อคุณสมบัติทางเคมี กายภาพ และประสาทสัมผัสของมัฟฟินช็อกโกแลต ศึกษาการทดแทนแป้งสาลีด้วยแป้งข้าวกล้องงอกต่อผงจิ้งหรีด 3 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 12.5 ต่อ 7.5 (สูตร A) ร้อยละ 10 ต่อ 10 (สูตร B) และร้อยละ 7.5 ต่อ 12.5 (สูตร C) โดยน้ำหนักแป้ง จากผลการทดลอง พบว่า ปริมาณผงจิ้งหรีดที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ค่าความสว่าง (<em>L</em>*) ค่าความเป็นสีแดง (<em>a</em>*) และค่าความเป็นสีเหลือง (<em>b</em>*) ของมัฟฟินช็อกโกแลตลดลง และมีค่าความแตกต่างของสี (<em>∆</em><em>E</em>) เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสูตรควบคุม จากการวิเคราะห์เนื้อสัมผัส พบว่า ค่าความแข็ง ค่าความยืดหยุ่น ค่าความเกาะติด ค่าความทนทานการเคี้ยว และค่าความหยุ่นมีค่าลดลงจากสูตรควบคุม และเมื่อปริมาณผงจิ้งหรีดเพิ่มขึ้นส่งผลให้ปริมาณโปรตีน ไขมัน เถ้า เส้นใยหยาบ และพลังงานเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณของคาร์โบไฮเดรต ค่ากิจกรรมของน้ำ (a<sub>w</sub>) และปริมาณความชื้นลดลง จากการประเมินทางประสาทสัมผัส พบว่ามัฟฟินช็อกโกแลตที่มีการทดแทนแป้งสาลีด้วยแป้งข้าวกล้องงอกและผงจิ้งหรีดทั้ง 3 สูตร ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) ในด้านเนื้อสัมผัส รสชาติ และความชอบโดยรวม โดยมีคะแนนความชอบโดยรวมอยู่ในระดับชอบเล็กน้อย สูตรที่มีปริมาณผงจิ้งหรีดสูงที่สุด (สูตร C) มีปริมาณโปรตีน เส้นใยหยาบ และเถ้าเพิ่มขึ้นจากสูตรควบคุมเท่ากับ 1.81, 1.77 และ 1.51 เท่า ตามลำดับ งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้ผงจิ้งหรีดเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาหารที่ต้องการโปรตีน และสนับสนุนความยั่งยืนของอาหารแห่งอนาคตอีกทางหนึ่งด้วย</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/268087
พฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านแบคทีเรียจากสารสกัดหยาบของพญาสัตบรรณ
2024-01-03T13:50:50+07:00
กัณป์ธิภัศ เขียวยันต์
pattanan.khieo@vru.ac.th
ณพัฐอร บัวฉุน
napattaorn@vru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสารพฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านแบคทีเรียจาก สารสกัดหยาบจากใบและดอกพญาสัตบรรณ จากการทดสอบ พบว่า สารสกัดหยาบจากใบพญาสัตบรรณมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด (25.53 ± 0.52 mg GAE/g) และปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด (18.21 ± 1.07mg QE/g) สูงกว่าสารสกัดหยาบจากดอกพญาสัตบรรณ และเมื่อทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ ABST assay พบว่า สารสกัดหยาบจากใบพญาสัตบรรณมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH (EC<sub>50</sub> 8.15 ± 0.27 mg/ml) และ ABTS (EC<sub>50</sub> 10.09 ± 0.52 mg/ml) ได้ดีกว่าสารสกัดหยาบจากดอกพญาสัตบรรณ เมื่อเทียบกับสารมาตรฐาน BHT, BHA และ α-Tocopherol ส่วนการศึกษาฤทธิ์ต้านแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion ผลการทดสอบปรากฏว่า สารสกัดหยาบจากใบพญาสัตบรรณมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย <em>S. aureus </em>TISTR746 <em>B. cereus </em>TISTR1449 และ <em>S. typhimurium</em> TISTR1472 โดยมีบริเวณยับยั้งเท่ากับ 7.11 ± 1.27 มิลลิเมตร 5.89 ± 1.34 มิลลิเมตร และ 4.11 ± 1.53 มิลลิเมตร ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบฤทธิ์ยับยั้งระหว่างสารสกัดหยาบจากใบและดอกพญาสัตบรรณกับยาปฏิชีวนะ (Streptomycin และ Tetracycline) ซึ่งสารสกัดหยาบจากใบและดอกพญาสัตบรรณสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้อย่างสมบูรณ์โดยมีค่า MIC และ MBC อยู่ระหว่าง 25 และ 50 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร จากการทดลองแสดงให้เห็นว่าใบและดอกพญาสัตบรรณสามารถเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ดีในการค้นหาสารทุติยภูมิที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ นำไปใช้ในการเป็นสารประกอบในเครื่องสําอางบำรุงผิว ลดเลือนริ้วรอย และในการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และเกษตรกรรมต่อไป</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/275747
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผงโรยข้าว (ฟูริคาเกะ) จากปลากะพงเค็มสามน้ำทะเลสาบสงขลา
2024-10-22T08:30:01+07:00
ธันยพร บุญศิริ
thanyaporn.s@rmutsv.ac.th
จิราภรณ์ ตันติพงศ์อาภา
jirapon.ta@rmutsv.ac.th
โกสินทร์ ทีปรักษพันธ์
kosin.t@rmutsv.ac.th
ณิชา ประสงค์จันทร์
nicha.p@rmutsv.ac.th
นรินทร์ภพ ช่วยการ
Narinphop.c@rmutsv.ac.th
วรรณนิสา เภาพันธ์
wannisa.p@rmutsv.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผงโรยข้าว (ฟูริคาเกะ) จากปลากะพงเค็มสามน้ำทะเลสาบสงขลา โดยศึกษากระบวนการผลิตปลากะพงเค็มของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านบ่อสวน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผงโรยข้าวปลากะพงเค็มที่มีส่วนประกอบเครื่องปรุงรสในปริมาณที่แตกต่างกัน ด้วยการทดสอบการยอมรับทางประสาทสัมผัส มาวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และจุลินทรีย์ คุณค่าทางโภชนาการ และการยอมรับของผู้บริโภค พบว่า การผลิตและแปรรูปปลากะพงเค็มได้จากการหมักปลากะพง 6 กิโลกรัม ด้วยเกลือ 2 กิโลกรัม และน้ำตาลทราย 0.5 กิโลกรัม ในกล่องโฟมเป็นเวลา 3-5 วัน จากนั้นจึงตากแห้งด้วยตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเวลา 3-4 วัน นำปลากะพงเค็มส่วนหัวและส่วนหาง มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ผงโรยข้าวปลากะพงเค็ม ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ผงโรยข้าวปลากะพงเค็มสูตรที่เหมาะสมในการผลิตผงโรยข้าวปลากะพงเค็ม คือ เนื้อปลากะพงเค็ม งาขาว งาดำ สาหร่ายแผ่นอบกรอบ และน้ำตาลทราย ปริมาณเครื่องปรุงรส สูตรที่ผสมพริกป่น ร้อยละ 4 โดยน้ำหนัก พบว่าด้านสี มีค่าความสว่าง (L* ) ค่าความเป็นสีแดง (a*) และค่าความเป็นสีเหลือง (b*) เท่ากับ 54.82 14.26 และ 32.86 ตามลำดับ ค่าความชื้นเท่ากับ ร้อยละ 2.80 และค่าน้ำอิสระ (a<sub>w</sub>) เท่ากับ 0.43 ปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมดและปริมาณยีสต์ราทั้งหมด เท่ากับ 6.8 x 102 CFU/g และ 30 CFU/g มีคุณค่าทางโภชนาการใน 100 กรัม มีพลังงานทั้งหมด 315.68 กิโลแคลอรี ไขมัน 3.395 กรัม โปรตีน 38.85 กรัม คาร์โบไฮเดรตรวม 32.43 กรัม ใยอาหาร 2.28 กรัม ความชื้น 14.16 กรัม เถ้า 11.17 กรัม การยอมรับผงโรยข้าวปลากะพงเค็มสามน้ำที่มีบรรจุภัณฑ์และฉลากผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 100 จากผู้บริโภคจำนวน 50 คน</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/268605
ฤทธิ์และการเสริมฤทธิ์ของสารสกัดฟ้าทะลายโจร สารสกัดจันทน์เทศและสารปฏิชีวนะ ต่อการยับยั้งการเจริญและยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของแบคทีเรียบางสายพันธุ์
2024-01-19T15:34:00+07:00
วิสาตรี คงเจริญสุนทร
wisatre@go.buu.ac.th
ตรียุทธ งานแข็ง
62030511@go.buu.ac.th
มนัสนันท์ หาญวัฒนพงษ์
62030522@go.buu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาสารสกัดฟ้าทะลายโจร (<em>Andrographis paniculata</em> (Burm.f.) Wall.Ex Nees) สารสกัดจันทน์เทศ (<em>Myristica gragrans</em> Houtt.) และสารปฏิชีวนะในการยับยั้งการเจริญและการยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของเชื้อแบคทีเรียสามสายพันธุ์ได้แก่ <em>Escherichia coli</em> ATCC 25922, <em>Pseudomonas</em> <em>aeruginosa</em> ATCC 27853 และ <em>Staphylococcus aureus</em> ATCC 25923 พบว่าสารสกัดฟ้าทะลายโจรและสารสกัดจันทน์เทศสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อทดสอบได้ Minimum Inhibition Concentration (MIC) เท่ากับ 20 - 80 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ผลการเสริมฤทธิ์ของสารสกัดฟ้าทะลายโจรกับสารสกัดจันทน์เทศในการยับยั้งการเจริญของ <em>P. aeruginosa</em> ATCC 27853 มีค่า Fractional Inhibitory Concentration Index เท่ากับ 0.317 ผลการศึกษาการเสริมฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรร่วมกับจันทน์เทศโดยวิธีย้อมสีด้วยคริสตัลไวโอเลต พบว่าฟ้าทะลายโจรผสมกับจันทน์เทศสามารถยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของเชื้อแบคทีเรียทั้งสามชนิดได้ดีที่สุดในช่วงเวลา 2-4 ชั่วโมง ค่าประสิทธิภาพยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มอยู่ในช่วง 56.42-85.03 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างไรก็ตามการเสริมฤทธิ์ของสารสกัดสมุนไพรทั้งสองชนิดยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าสารปฏิชีวนะ ดังนั้นสารสกัดฟ้าทะลายโจรผสมสารสกัดจันทน์เทศสามารถใช้แทนสารปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น เพื่อรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/275757
การออกแบบตราสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มลาดหลุมแก้วจักสาน จังหวัดปทุมธานี
2025-01-06T14:55:41+07:00
ธนัง ชาญกิจชัญโญ
chankitchunyo@gmail.com
วิศวรรธน์ พัชรวิชญ์
wissawat@vru.ac.th
เศกพร ตันศรีประภาศิริ
sekporn@vru.ac.th
<p>การออกแบบตราสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มลาดหลุมแก้วจักสาน จังหวัดปทุมธานี มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยและความต้องการที่มีต่อการออกแบบตราสินค้ากลุ่มลาดหลุมแก้วจักสาน ตำบลลาดหลุมแก้ว อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ผู้วิจัยได้ลงพื้นที่ภาคเพื่อสัมภาษณ์ตัวแทนกลุ่มและได้ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งสรุปได้ดังนี้ตำบลลาดหลุมแก้วมีจำนวนทั้งหมด 7 หมู่ โดยหมู่ที่ 7 บ้านคลองล่าง เป็นหมู่ที่ประกอบอาชีพเสริมโดยการทำเครื่องจักสานจากเส้นพลาสติก เช่น กระเป๋า และตะกร้าสาน นอกจากนี้ยังพบว่าทางกลุ่มมักจะใช้ลายขัดในการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์เนื่องจากมีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่ทางกลุ่มผลิตขึ้น 2) เพื่อออกแบบตราสินค้ากลุ่มลาดหลุมแก้วจักสาน ตำบลลาดหลุมแก้ว อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ผู้วิจัยได้นำผลที่ได้จากการสัมภาษณ์รวมถึงผลจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากำหนดเป็นแนวทางในการออกแบบตราสินค้าดังนี้ 1) แสดงถึงอัตลักษณ์กลุ่มลาดหลุมแก้วจักสาน 2) รูปแบบทันสมัย 3) สร้างการจดจำให้แก่ผู้บริโภค ผู้วิจัยได้นำข้อกำหนดดังกล่าวมาทำแบบร่างตราสินค้า (Sketch Design) จำนวน 5 รูปแบบและนำไปสอบถามความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบจำนวน 2 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดจำนวน 1 คน เพื่อคัดเลือกให้เหลือเพียง 1 รูปแบบ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อตราสินค้ากลุ่มลาดหลุมแก้วจักสาน ตำบลลาดหลุมแก้ว อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี จากกลุ่มผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ชุมชนและสมาชิกกลุ่มลาดหลุมแก้วจักสาน จำนวน 100 คน โดยผลรวมการประเมินอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.38) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.= 0.86) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าผลรวมด้านการสื่อสารอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.42) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.= 0.78) ผลรวมด้านความสวยงามอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.48) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.= 0.78) และผลรวมด้านการส่งเสริมภาพลักษณ์อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.38) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.= 0.86)</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/274898
คุณค่าทางโภชนาการและสำรับอาหารของตำรับอาหารไทยมาตรฐานวิทยาลัยดุสิตธานี
2024-06-13T21:25:16+07:00
นิกร สุวรรณโชติ
nikorn.su@dtc.ac.th
ขนิษฐา นิยมวงศ์
kanitta.ni@dtc.ac.th
สถิตย์พงษ์ มั่นหลำ
satitpong.mu@dtc.ac.th
กรวิทย์ สักแกแก้ว
korawit.sa@dtc.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของตำรับอาหารไทยมาตรฐานวิทยาลัย<br />ดุสิตธานี เพื่อจำแนกกลุ่มอาหารตามปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI) รวมถึงสำรวจการยอมรับของผู้บริโภคต่อการจัดสำรับอาหารไทย เก็บข้อมูลน้ำหนักอาหารที่บริโภคได้จริงและคำนวณคุณค่าทางโภชนาการด้วยโปรแกรม INMUCAL-Nutrients V.4.0 เพื่อกำหนดแนวทางในการบริโภคอาหารไทย อ้างอิงตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 182) พ.ศ. 2541 เรื่อง สารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวัน จากนั้นผู้ทรงคุณวุฒิทำการพิจารณาและสำรวจการยอมรับของผู้บริโภคต่อสำรับอาหารไทยที่จัดขึ้น ผลการศึกษาพบว่า รายการที่มีพลังงานสูงที่สุดเป็นขนมไทย คือ ข้าวเหนียวมูน (หน้ากุ้ง <br />ปลาแห้ง สังขยา) มีพลังงานเท่ากับ 1,667.64 กิโลแคลอรี โดยมีสัดส่วนร้อยละคาร์โบไฮเดรต : โปรตีน : ไขมัน เท่ากับ 46.64 : 24.36 : 29.00 ตามลำดับ ส่วนยำเนื้อย่างคืออาหารประเภทจานหลักที่มีพลังงานต่ำที่สุด มีพลังงานเท่ากับ 80.05 กิโลแคลอรี มีสัดส่วนร้อยละร้อยละคาร์โบไฮเดรต : โปรตีน : ไขมัน เท่ากับ 35.23 : 61.27 : 3.50 การจำแนกกลุ่มอาหารตามปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI) พบว่า อาหารพลังงานต่ำ (น้อยกว่า 250 กิโลแคลอรี) 3 อันดับแรก คือ ยำเนื้อย่าง ต้มยำกุ้งน้ำใส และซ่าหริ่ม ส่วนอาหารพลังงานสูง (มากกว่า 500 กิโลแคลอรี) ได้แก่ น้ำพริกลงเรือ และข้าวเหนียวมูน (หน้ากุ้ง ปลาแห้ง สังขยา) การจัดสำรับอาหารไทยทั้ง 4 สำรับ พบว่า ผู้บริโภคให้การยอมรับสำรับอาหารไทยชุดที่ 1 มากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em><0.05) ซึ่งประกอบไปด้วย เมี่ยงปลาทู ยำเนื้อย่าง แกงเขียวหวานไก่ ทอดมันปลากราย และซ่าหริ่ม เนื่องจากมีการกระจายร้อยละของสารอาหารที่ใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารไทยเป็นชุดสำรับถือว่าเป็นทางเลือกสุขภาพ เพราะนอกจากจะได้บริโภคอาหารที่หลากหลายประเภทแล้ว อาหารไทยยังมีพลังงาน สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมและครบถ้วนอีกด้วย</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/275499
การศึกษาการพัฒนากระดาษจากข่าและตะไคร้เหลือใช้ทางการเกษตรสู่การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ กรณีศึกษา: กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้ำคำพัฒนา จังหวัดเพชรบูรณ์
2024-10-03T14:51:12+07:00
กฤษณา เกตุค้า
krisana.ket@pcru.ac.th
ชนิรัตน์ ผึ่งบรรหาร
Chanirat.phu@pcru.ac.th
นิรุต ขันทรี
nirut.khan@pcru.ac.th
การันต์ ผึ่งบรรหาร
karun.phu@pcru.ac.th
ธเนศ เรืองเดช
pannering1234@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาแผ่นกระดาษจากจากข่าและตะไคร้เหลือใช้ทางการเกษตร 2) เพื่อศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพของกระดาษจากจากข่าและตะไคร้ 3) เพื่อพัฒนาออกแบบการทำกระดาษจากข่าและตะไคร้ เป็นบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้ำคำพัฒนา จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีโจทย์จากชุมชนด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ จากเดิมที่กลุ่มวิสาหกิจแปรรูปผลิตภัณฑ์ผักจากการนำผลผลิตที่ล้นตลาดมาจำหน่ายบรรจุลงถุงพลาสติก คณะผู้วิจัยสนใจนำเศษตะไคร้และข่าจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้ำคำพัฒนาที่เหลือทิ้งจำนวนมาก นำมาล้างทำความความสะอาด ต้มด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ร้อยละ 5 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร ทำเยื่อและขึ้นรูปเป็นแผ่นกระดาษใช้เยื่อ 700 กรัมต่อแผ่น ทั้งหมด 7 สูตร (3:0:0, 0:3:0, 0:0:3, 1.5:1.5:0, 1.5:0:1.5, 0:1.5:1.5 และ 1:1:1) ได้แก่ ส่วนของต้นข่า ใบข่า และใบตะไคร้ ตามลำดับ นำไปทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพของกระดาษ พบว่าสูตรที่มีสัดส่วนของลำต้นข่าและใบข่า (1.5:1.5:0) ให้คุณสมบัติที่ดีที่สุด โดยมีน้ำหนักมาตรฐานของกระดาษเท่ากับ 201.13 กรัมต่อตารางเมตร ความชื้น 6.93% การดูดซับน้ำ 304.64 กรัมต่อตารางเมตร และดัชนีความต้านทานแรงฉีกขาดสูงสุด 33.17 นิวตันเมตรต่อตารางเมตรจากคุณสมบัติที่ได้นี้จึงนำกระดาษมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ได้ 6 แบบ และผู้เชี่ยวชาญเลือกแบบที่ 2 เพราะสะดวกในการถือ สามารถเห็นตัวผลิตภัณฑ์ข้างในและผลิตจริง บรรจุภัณฑ์ที่สร้างจากกระดาษข่าและตะไคร้มีความพึงพอใจจากกลุ่มตัวอย่างสูงสุดที่ค่าเฉลี่ย 4.70±0.48</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/274277
การพัฒนาแอปพลิเคชันระบบการจัดการเวชภัณฑ์และยาของศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
2024-09-27T10:35:13+07:00
สัณห์พิชญ์ พิมูลชาติ
aouninnovation@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอปพลิเคชันระบบการจัดการเวชภัณฑ์และยาของศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2) ประเมินประสิทธิภาพการใช้งาน และ 3) ประเมินระดับความพึงพอใจในการใช้งานแอปพลิเคชัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แอปพลิเคชันระบบการบริหารจัดการเวชภัณฑ์และยาของศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ที่พัฒนาขึ้นโดยการใช้แพลตฟอร์มแอปชีต 2) แผนภูมิกระบวนการไหลในการวิเคราะห์กระบวนการและประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานก่อนและหลังปรับปรุง และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจคุณภาพการใช้งานแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น โดยนำไปให้กลุ่มเป้าหมายที่เลือกแบบเจาะจง ได้แก่ บุคลากรของศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จำนวน 5 คน ใช้ในการประเมินความพึงพอใจ ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า แอปพลิเคชันที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้งานได้ตามกระบวนการจัดการเวชภัณฑ์และยาของศูนย์สุขภาพ ในกลุ่มผู้ใช้งาน 3 กลุ่ม คือ เจ้าหน้าที่ แพทย์หรือพยาบาล และเภสัชกร โดยผลการประเมินประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันสามารถลดเวลาในการทำงานได้ 7.50 นาที คิดเป็นประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.10 ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนได้ร้อยละ 14.29 และผลการประเมินระดับความพึงพอใจในการใช้งานแอปพลิเคชัน อยู่ในระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ย 3.40 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.60 ซึ่งผู้ใช้งานมี<br />ความพึงพอใจด้านความปลอดภัยของข้อมูลในระบบมากที่สุด ในการนำไปใช้งานระบบสามารถประยุกต์ใช้กับคลินิก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือร้านขายยาได้เพียงต้องปรับฟังก์ชันให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/275839
การพัฒนาระบบตรวจจับและแสดงค่าสมรรถนะของแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์
2025-01-28T14:18:50+07:00
ภูมินันท์ บัวงาม
phuminun@rtaf.mi.th
ชวพงษ์ ขุนสูงเนิน
chawaphong_k@rtaf.mi.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบการตรวจจับและแสดงค่าสมรรถนะของแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผู้วิจัยได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณแบตเตอรี่ในรถกอล์ฟ จากนั้นได้ทำการทดลองทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ การทดลองที่น้ำหนัก 170 กิโลกรัม ที่ ดัชนีรังสuอัลตราไวโอเลต (UV Index) มากกว่า 8 และน้อยกว่า 8 และ 250 กิโลกรัม อัลตราไวโอเลต มากกว่า 8 และ น้อยกว่า 8 โดยทำการวิ่งให้แบตเตอรี่จาก 100 เปอร์เซ็นต์ จนเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ ผลการทดลองพบว่าที่ 170 กิโลกรัมอัลตราไวโอเลต มากกว่า 8 รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สามารถวิ่งได้ระยะทางเฉลี่ย 5.2 กิโลเมตร จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาคำนวณและทำแอปพลิเคชันให้ผู้ใช้งานสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างปลอดภัย</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/275555
การพัฒนาและศึกษาผลการใช้อิริทริทอลแทนน้ำตาลทรายในเครื่องดื่มกล้วยผงพร้อมชงเพื่อสุขภาพ
2025-01-14T10:51:33+07:00
วิวรณ์ วงศ์อรุณ
wiworn.won@rmutr.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มกล้วยผงพร้อมชงและศึกษาปริมาณการใช้อิริทริทอลแทนน้ำตาลทราย โดยการนำกล้วยผงผสมกับนมผง น้ำตาลทรายและส่วนผสมอื่น ๆ ได้แก่ วานิลลา<br />ผง โกโก้ผง มะม่วงผง ขิงผง ใบเตยผง และทุเรียนผง วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ (Randomized complete block design : RCBD) ทดสอบคุณภาพทางประสาทสัมผัส นำผลมาวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนของข้อมูล (One-way ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยวิธี Duncan’s new multiple range test (DMRT) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 พบว่า เครื่องดื่มกล้วยผงพร้อมชงรสโกโก้และรสใบเตยมีคะแนนความชอบเฉลี่ยทุกด้านมากกว่ารสขิง รสทุเรียน รสมะม่วงและรสวานิลลา โดยมีความชอบอยู่ในระดับชอบปานกลางถึงชอบมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 7.22-7.91) และมีคะแนนความชอบไม่แตกต่างกัน (P>0.05) แต่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\leq&space;" alt="equation" /> 0.05) ด้านสีของเครื่องดื่มกับรสขิง รสทุเรียน รสมะม่วงและรสวานิลลา ผลการใช้อิริทริทอลเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลทราย พบว่า เมื่อใช้อิริทริทอลปริมาณ <br />10 กรัม แทนน้ำตาลทราย 5 กรัม ในสูตรควบคุมได้รับคะแนนความชอบเฉลี่ยทุกด้านมีค่าเฉลี่ยมากกว่าสูตรที่ใช้น้ำตาลอิริทริทอล 5 กรัม และ15 กรัม ซึ่งอยู่ในระดับชอบมาก (<img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"> </span><span style="font-size: 0.875rem;"> = 7.30-7.78) โดยกล้วยผงพร้อมชงรสใบเตย มีคะแนนความชอบด้านสี ไม่แตกต่างกัน (P>0.05) กับสูตรควบคุมที่ใช้น้ำตาลทราย แต่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (P</span><img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\leq&space;" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;">0.05) ด้านลักษณะปรากฏ กลิ่น รสชาติ และความชอบโดยรวม ส่วนกล้วยผงพร้อมชงรสโกโก้ มีคะแนนความชอบด้านลักษณะปรากฏ สี และกลิ่น ไม่แตกต่างกัน (P>0.05) กับสูตรควบคุมที่ใช้น้ำตาลทราย แต่มีความแตกต่างด้านรสชาติ และความชอบโดยรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P</span><img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\leq&space;" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;">0.05) และจากการวิเคราะห์หาจำนวนจุลินทรีย์ พบว่า มีจำนวนยีสต์และรา ต่ำกว่า 10 CFU/g. ซึ่งเป็นค่าที่เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนของผลิตภัณฑ์ แป้งกล้วย (มผช. 1375/2550)</span></p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/274134
การย้อมสีเส้นไหมด้วยดินแดงจากจังหวัดสุรินทร์: การพัฒนาเฉดสีและการประเมินความคงทนของสี
2025-03-12T11:15:25+07:00
วีรญา สิงคนิภา
weeraya.sing82@gmail.com
<p>การศึกษากระบวนการย้อมไหมจากดินแดง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสารช่วยติดสีต่อการย้อมไหมด้วยดินแดง ค่าความเป็นกรดเบส ค่าความเข้มของสีในระบบ <em>CIELab</em> ความคงทนของสีต่อการซักและความคงทนต่อแสงแดด ผลการศึกษาพบว่าทำการหมักดินแดง โดยใชhอัตราส่วนดินแดง 2 กิโลกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร แช่เป็นเวลา 30 นาที ได้ผลดีที่สุด การเตรียมสารช่วยติดสีได้แก่ สารส้ม ใบมะขาม ใบผักโขมหนาม กระบวนการย้อมไหมแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดที่ 1 ย้อมด้วยดินแดงอย่างเดียวโดยไม่ใช้สารช่วยติดสีเป็นเวลา 1 ชั่วโมง12 ชั่วโมง 24 ชั่วโมง ชุดที่ 2 ย้อมไหมด้วยดินแดงโดยใส่สารช่วยติด สีของเส้นไหมมีเฉดสีส้ม ค่าสีของเส้นไหมให้ค่าความสว่าง (<em>L*</em>) อยู่ในช่วง 68.75 – 74.21 ค่าความเป็นสีแดง (<em>a*</em>) อยู่ในช่วง 14.61 – 18.24 และค่าความเป็นสีเหลือง (<em>b</em>*) อยู่ในช่วง 23.22 – 29.16 เส้นไหมที่ย้อมด้วยดินแดง 12 ชั่วโมง และตามด้วยต้มน้ำใบมะขาม 15 นาทีให้สีเข้มที่สุด การทดสอบความคงทนของสีของเส้นไหมพบว่าความคงทนของสีต่อการซักและความคงทนต่อแสงแดดอยู่ในระดับคุณภาพค่อนข้างดีมากที่สุดถึงดีมากที่สุด (4/5-5) ซึ่งในการนำดินแดงมาย้อมไหม เป็นการนำวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่นมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหม เพื่อให้ได้สีย้อมที่เป็นมิตรกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/277656
การพัฒนาโมเดลสำหรับการทำนายผลผลิตพืชผักสลัด กรณีศึกษา: โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
2025-02-06T16:23:04+07:00
ธีรภพ แสงศรี
tees@rmutl.ac.th
สุรีนาฎ มะโนลา
sureenat@rmutl.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลทำนายผลผลิตของพืชผักอายุสั้นตระกูลสลัดในโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อลดปัญหาความไม่สอดคล้องระหว่างปริมาณผลผลิตและความต้องการของตลาด โดยใช้กระบวนการ CRISP-DM และเทคนิคการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ข้อมูลผลผลิตและปัจจัยแวดล้อมในช่วงปี พ.ศ. 2561 - พ.ศ. 2563 ผลการศึกษาพบว่า โมเดลที่พัฒนาขึ้นสามารถอธิบายความแปรปรวนของผลผลิตได้ 65.04% (R-squared = 0.6504) โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยของการทำนาย (RMSE) เท่ากับ 68.73 กิโลกรัม และค่าความผิดพลาดสัมบูรณ์เฉลี่ย (MAE) เท่ากับ 55.33 กิโลกรัม ปัจจัยที่มีนัยสำคัญทางสถิติต่อผลผลิต ได้แก่ อุณหภูมิสูงสุด อุณหภูมิต่ำสุด และจำนวนเกษตรกร ขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความชื้นและความเร็วลม ไม่แสดงผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โมเดลที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด นอกจากนี้ ควรศึกษาปัจจัยแวดล้อมเพิ่มเติมที่อาจมีผลต่อผลผลิต และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโมเดลพยากรณ์หลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ อีกทั้งควรขยายการศึกษาสู่พืชหรือพื้นที่เพาะปลูกอื่น ๆ เพื่อให้โมเดลมีความยืดหยุ่นและสามารถนำไปใช้งานได้อย่างแพร่หลาย</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/280537
แบบจำลองสมการโครงสร้างของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มภาคตะวันออกกลุ่มที่ 2
2025-03-07T14:47:24+07:00
ปกรณ์ แสนจิตต์
pondpak@gmail.com
เชิดชัย ธุระแพง
pondpak@gmail.com
ทองแท่ง ทองลิ่ม
pondpak@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยในการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มภาคตะวันออก 2 2) เพื่อพัฒนาแบบจำลองแบบจำลองสมการโครงสร้างของปัจจัยการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มภาคตะวันออก 2 และ 3) เพื่อทดลองใช้แบบจำลองสมการโครงสร้างของการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มภาคตะวันออก 2 โดยอาศัยกลุ่มตัวอย่างของการวิจัยเชิงปริมาณมีจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ นำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์สถิติพื้นฐานและแบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ทำงานในวิสาหกิจชุมชนระหว่าง 11 – 15 ปี มีรูปแบบวิสาหกิจชุมชนแบบสหกรณ์ ดำเนินการธุรกิจวิสาหกิจชุมชนเป็นระยะวเลา 10 – 12 ปี มีมูลค่าการผลิตต่อปีระหว่าง 3,000,001 – 4,000,000 บาท มีการเข้ารวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ และมีการเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่ภาคตะวันออก 2 ประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยด้านการจัดการวัตถุดิบ ปัจจัยด้านกระบวนการผลิต กำลังการผลิต `และ ปัจจัยด้านการตลาด โดยมีปัจจัยย่อย คือ ปัจจัยด้านการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม และปัจจัยด้านการตัดสินใจการใช้เทคโนโลยี ที่มีระดับความสำคัญส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับมาก การพัฒนาแบบจำลองสมการโครงสร้างของปัจจัยการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มภาคตะวันออก 2 ได้โมเดลที่มีค่าดัชนีมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นอย่างดี ความเหมาะสมและสามารถใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีแบบจำลองสมการ คือ รูปสมการโครงสร้าง Dm = 0.561* Rm + 0.603* Pp + 0.722* Mk + 0.534* Ti, R<sup>2</sup> = 0.761 ที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/284424
ปกวารสาร
2025-04-30T22:29:50+07:00
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/284425
ปกใน
2025-04-30T22:31:07+07:00
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/284426
บทบรรณาธิการ
2025-04-30T22:32:22+07:00
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/vrurdistjournal/article/view/284428
สารบัญ
2025-04-30T22:33:56+07:00
2025-04-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025