บทบาททางการเมืองของสตรีต่อการปฏิบัติหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ของนักการเมืองสตรีในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ผู้แต่ง

  • ฉัชศุภางค์ สารมาศ นักศึกษาหลักสูตรปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
  • ธัชชนันท์ อิศรเดช นักศึกษาหลักสูตรปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
  • ยุทธนา ปราณีต นักศึกษาหลักสูตรปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

คำสำคัญ:

บทบาททางการเมืองของสตรี, การปฏิบัติหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร, นักการเมืองสตรี, กรุงเทพ มหานครและปริมณฑล

บทคัดย่อ

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งเสริมบทบาททางการเมืองของสตรี 2. เพื่อศึกษาความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อบทบาททางการเมืองของสตรี และ 3. เพื่อนำเสนอการพัฒนาเพื่อส่งเสริมการแสดงบทบาททางการเมืองของสตรีตามหลักพุทธธรรม ระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ กำหนดกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามประเมินค่า 5 ระดับ ที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน จากนั้นนำผลการวิจัยมาสังเคราะห์เป็นรูปแบบ นำมาพัฒนาโดยการสนทนากลุ่มเฉพาะ จากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 10 รูปหรือคน เพื่อยืนยันรูปแบบ

ผลการวิจัยพบว่า

  1. 1. ปัจจัยที่ส่งเสริมบทบาททางการเมืองของสตรีต่อการปฏิบัติหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรของนักการเมืองสตรีในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ การศึกษาช่วยส่งเสริมให้สตรีมีความมั่นใจในความรู้ความสามารถ อิทธิพลของครอบครัวเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการส่งเสริมผลักดันให้สตรีได้สั่งสมประสบการณ์ทางการเมือง อิทธิพลของสื่อในทางการเมืองการเข้าถึงสื่อได้สามารถนำสื่อมาใช้ในการทำงานย่อมได้เปรียบทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมืองเปิดโอกาสให้สตรีได้มีพื้นที่ในการแสดงบทบาทและให้การยอมรับความสามารถของสตรีมากขึ้น
  2. 2. ความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อบทบาททางการเมืองของสตรี โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (=37) เมื่อพิจารณาโดยเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ดังนี้ ด้านความโปร่งใสและการเข้าถึงได้ (=3.46) ด้านการมีส่วนร่วมในนโยบายระหว่างประเทศ (=3.43) ด้านการตรวจสอบฝ่ายบริหาร (=3.41) ด้านการทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ (=3.35) ด้านความสำนึกรับผิดชอบ(=3.32) และด้านการเป็นตัวแทนของประชาชน (=3.27) ตามลำดับ ทั้งนี้ การเป็นตัวแทนของประชาชนจะต้องมีความจริงใจ มีความใฝ่รู้ มีความรับผิดชอบ มีความสามารถทางสติปัญญา มีสติ มีความรอบคอบ มีธรรมะคารวตา มีหิริโอตตัปปะ การตรวจสอบฝ่ายบริหาร โดยธรรมชาติสตรีตรวจสอบผู้ชายเป็นเรื่องที่ยากจึงควรผลักดันให้มีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมาธิการ การทำหน้าที่นิติบัญญัติจะต้องมีส่วนร่วมในการเสนอร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ด้วยการเป็นคณะกรรมาธิการ ความโปร่งใสและการเข้าถึงได้เน้นการสื่อสารของคนภายในพรรคและการสื่อสารออกสู่สาธารณะจะต้องเป็นส่วนหนึ่งในการทำการเมืองให้พัฒนาประเทศมากขึ้น ความสำนึกรับผิดชอบจะต้องสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับสังคม การมีส่วนร่วมในนโยบายระหว่างประเทศควรมีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการ หรือเป็นที่ปรึกษาในคณะทำงาน
  3. การพัฒนาเพื่อส่งเสริมการแสดงบทบาททางการเมืองที่คาดหวังของสตรีตามหลักไตรสิกขา พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=4.00) แยกพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ขั้นปัญญาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (=5.62) ขั้นศีล อยู่ในระดับมาก (=3.74) และ ขั้นสมาธิ อยู่ในระดับมาก (=3.56) ตามลำดับ ทั้งนี้ การพัฒนาบทบาททางการเมืองของสตรีตามหลักไตรสิกขา ศีล (คุณธรรม) การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย สมาธิ (ความตั้งใจ) การมีความตั้งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ ปัญญา (ความรู้) การมีความรอบรู้ในการออกกฎหมาย

เอกสารอ้างอิง

ไทยรัฐ [ออนไลน์] “ข่าวการเมือง” สัมภาษณ์ ชะวรลัทธิ์ ชินธรรมมิตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี พรรคเพื่อไทย. จาก www.thairath.co.th สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2562.

มติชน, “เลือกตั้ง 62 ส.ส. หญิงไทยครอง 76 ที่นั่ง นับได้ร้อยละ 14 น้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลก”, [ออนไลน์] จาก https://workpointnews.com/2019/05/26/women-in-thai-parliament/, สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2562)

สหภาพรัฐสภา [ออนไลน์], จาก https://thaipublica.org/2019/03/woman-in-parliament-politics/, สืบค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2562).

ขวัญษา เอกจิตต์และอุทัย สติมั่น. (2559). หลักไตรสิกขากับการพัฒนาตน. วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ฯ. 3 (2) : 170.

ประทิน แสงไทย, พระราชปริยัติกวีและพระมหาพรชัย สิริวโร. (2561). รูปแบบการเสริมสร้างพลังศักยภาพสตรี เพื่อพัฒนาชุมชนตามหลักพุทธธรรม. ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัญฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

สถาบันพระปกเกล้า. (2555). สถาบันการเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย : การดำเนินงานของรัฐสภาตามเกณฑ์และตัวชี้วัดของสหภาพรัฐ สภา (IPU). รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร สถาบันพระปกเกล้า.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2021-08-16

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย