การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1วิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี ราชบุรีผ่านการเรียนรู้แบบร่วมมือในโครงการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ
คำสำคัญ:
การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ, การเรียนรู้แบบร่วมมือ, นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตวิทยาลัยพยาบาล, บรมราชชนนี, ราชบุรีบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี ก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ 2) ศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี ต่อกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบร่วมมือในโครงการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี ต่อกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบร่วมมือในโครงการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ ประชากรที่ศึกษาในครั้งนี้ เป็นนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 110 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบทดสอบความรู้ทักษะภาษาอังกฤษ 1 ฉบับ จำนวน 50 ข้อ 2) แบบสำรวจความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบร่วมมือ 3.คำถามปลายเปิดเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบร่วมมือในโครงการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้ค่าสถิติ t-test ในการเปรียบเทียบคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี ก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (X) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ในการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี ต่อกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบร่วมมือในโครงการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านความคิดเห็นของนักศึกษาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า 1) พบว่าผลสัมฤทธิ์ทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1 หลังการอบรมด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบร่วมมือสูงกว่าก่อนการอบรมที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักศึกษามีความพึงพอใจโดยภาพรวมในระดับดี ( Mean =3.95 SD =0.89 ) ต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3) นักศึกษาส่วนใหญ่มีความประทับใจต่อโครงการและรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยสะท้อนว่าเป็นกิจกรรมที่ดีและช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี มีโอกาสได้เรียนรู้ร่วมกันและช่วยเหลือกัน มีการแสดงบทบาทที่หลากหลาย การวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการทำกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบร่วมมือให้นักศึกษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยพัฒนาสมรรถนะด้านการสื่อสารทางภาษาอังกฤษของนักศึกษาได้เป็นอย่างดีและควรมีการออกแบบข้อสอบ Pretest และ Posttest ที่เน้นแนวภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมากขึ้นที่สอดคล้องหรือสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ
เอกสารอ้างอิง
Yash, P.S. and Anju, A. (2011). Introduction To Cooperative Learning. Indian Streams Research Journal, Volume 1, Issue 2, March 2011, pp.1-9. Available online at www.isrj.net
Castle Jr., T.D.( 2014). The impact of cooperative learning on the development of need For cognition among first-year college students. PhD thesis. The University of Iowa, United States of America.
Johnson, D.W., Johnson, R.T. and Stanne, M.B. (2000) Cooperative Learning Methods: A Meta-Analysis. Research report. University of Minnesota. United States of America.
Richards, Jack C. and Rodgers, T. (1999) Approaches and Methods in Language Teaching: A description and analysis. Fifth Edition. Cambridge University Press.
Robyn M. Gillies (2016) Cooperative Learning: Review of Research and Practice. Australian
Journal of Teacher Education, Vol. 41, 3, March 2106 pp.38-54.
Slavin, R.E. (1983). When does cooperative learning increase student achievement?. Psychological Bulletin, 94(3), 429–445. Available at https://doi.org/10.1037/0033-2909.94.3.429
Slavin, R.E. (2006). Research on Cooperative Learning: an International Perspective. Scandinavian Journal of Educational Research, Vol.33, No.4, 1989 pp.231-243. Available at https://doi.org/10.1080/0031383890330401
Tsay-Vogel, M. and Brady, M. (2010). A Case Study of Cooperative Learning and Communication Pedagogy: Does Working in Teams Make a Difference? International Journal for the Scholarship of Teaching and Learning 10(2):78-89.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
