การจัดการสภาวะวิกฤติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมที่นำไปสู่การเกิดสภาวะวิกฤติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน 2) เพื่อศึกษากระบวนการการจัดการสภาวะวิกฤติ ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน และ 3) เพื่อศึกษาขั้นตอนการปฏิบัตินำ 13 ชีวิตหมูป่าออกจากถ้ำหลวงฯ และผลที่ได้จากการจัดการสภาวะวิกฤติ ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ร่วมปฏิบัติการกับผู้บัญชาการศูนย์ฯ 2) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) ของภาคเอกชน ที่ร่วมปฏิบัติงาน และ 3) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) ภาคประชาชนและภาครัฐที่ให้การสนับสนุน โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant Observation) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) และการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Documentary Research)
ผลการวิจัยพบว่า ถ้ำหลวงฯ มีลักษณะของถ้ำที่เรียกว่า “ถ้ำเป็น” ซึ่งลักษณะเช่นนี้ เมื่อเกิดพายุฝนหรือฝนตกหนักในบริเวณวนอุทยานถ้ำหลวงฯ จะทำให้พื้นที่ภายในของถ้ำมีน้ำไหลเข้าไปได้และเกิดน้ำท่วมขึ้น ในทางธรณีวิทยาถือว่าเป็นถ้ำที่มีอันตรายอย่างมาก แต่หน่วยงานภาครัฐไม่เคยทำการสำรวจและรวบรวมเป็นองค์ความรู้ทางกายภาพภายในถ้ำไว้ ทำให้ประชาชนไม่รู้ข้อมูลถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ที่มีความสวยงามจะแฝงไว้ด้วยอันตราย สำหรับการจัดการสภาวะวิกฤติของผู้บัญชาการศูนย์ฯ ที่เป็นผลสำเร็จนั้นไม่ได้ใช้หลักการจัดการ ของกูลิค (Luther Gulick) เพียงหลักการเดียว คือ POSDCORB นอกจากนี้ท่านยังได้นำการบริหารของอองริ ฟาโย (Henri Fayol) คือ POCCC และกระบวนการจัดการสภาวะวิกฤติ เข้ามาผสมผสานร่วมกัน และการปฏิบัติการที่โด่งดังไปทั่วโลกถึงความสำเร็จของการปฏิบัติการครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการวางแผนการที่ดีของผู้บัญชาการศูนย์และคณะพร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและหน่วยซีลของไทย โดยการใช้ยากู้ภัยเพื่อนำหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตออกอย่างปลอดภัย