ปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกกำลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการออกกำลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2) เปรียบเทียบความรู้ เจตคติ และการรับรู้อุปสรรคในการออกกำลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ จำแนกตามเพศ โดยกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ จำนวน 484 คน โดยวิธีการเลือกโดยบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามด้านความรู้ เจตคติ การรับรู้อุปสรรคของการออกกําลังกาย ความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์ในการออกกำลังกาย การสนับสนุนจากบุคคลรอบข้างในการออกกำลังกายที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 ใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการออกกำลังกาย ได้แก่ ด้านเจตคติเกี่ยวกับการออกกำลังกายมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (r = 0.21, p = 0.00) ด้านความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์การออกกำลังกายมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (r = 0.18, p = 0.00) และด้านการสนับสนุนจากบุคคลรอบข้างความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (r = 0.32, p = 0.00) และปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์ต่อการออกกำลังกายของนักศึกษา คือ ปัจจัยด้านการรับรู้อุปสรรคของการออกกําลังกายไม่มีความสัมพันธ์ต่อการออกกำลังกายของนักศึกษา และนักศึกษาทั้งเพศชายและเพศหญิงมีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ .05 มีความรู้โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.35, S.D.= 0.45) นักศึกษาเพศชายและเพศหญิงมีเจตคติเกี่ยวกับการออกกำลังกายไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ .05 มีเจตคติโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ (
= 2.89, S.D.= 0.72)
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา. (2560). แผนยุทธศาสตร์กรมพลศึกษา (2560-2564). เข้าถึงได้จาก https://www.dpe.go.th/about-391991791799-401291791802
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2562). การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ. เข้าถึงได้จาก https://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledge/categories/exercise/
จักรกฤษณ์ นุบาล. (2560). ความรู้ เจตคติ พฤติกรรมการออกกำลังกายและสมรรถภาพทางกายของเจ้าหน้าที่พลศึกษาประจำจังหวัดขอนแก่น. วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, 17(2), 75-86.
ฉัตรชัย ประภัศร. (2560). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการออกกําลังกายกรณีศึกษา: นักศึกษาสาขาการบัญชี และนักศึกษาสาขาการจัดการ ระดับปริญญาตรี ภาคพิเศษ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558. วารสารราชนครินทร์, 14(32), 81-92.
ธนพร แย้มศรี, ชนัญชิดาดุษฎี ทูลศิริ และยุวดี ลีลัคนาวีระ. (2560). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ, 35(2), 158-168.
เปรมวดี คฤหเดช. (2562). การรับรู้พฤติกรรมการออกกำลังกายของประชาชนที่มาออกกำลังกายในสวนสาธารณะกรุงเทพมหานคร. วารสารวชิรเวชสารและวารสารเวชศาสตร์เขตเมือง, 63(6), 455-466.
พรภัทรา แสนเหลา และอณัญญา ลาลุน. (2562). การศึกษาพฤติกรรมทางสุขภาพในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ. วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ, 2(2), 21-33.
แววใจ พ้นภัย และอมร ไกรดิษฐ์. (2560). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการออกกำลังกายของบุคลากรสาธารณสุขเครือข่ายบริการสุขภาพ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 4(ฉบับพิเศษ), 180-195.
สมเกียรติยศ วรเดช. (2557). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการออกกำลังกายของนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง. วารสารสาธารณสุขศาสตร์, 44(3), 288-299.
สรากร บุญกิจเจริญ. (2549). ศึกษาการใช้เวลาว่างในการประกอบกิจกรรมนันทนาการของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปีการศึกษา 2548. (ปริญญานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
อโนทัย ผลิตนนท์เกียรติ และคณะ. (2561). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. วารสาร ม.ฉก.วิชาการ, 21(42), 55-64.
Taro Yamane. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. 3rdEd. New York: Harper and Row Publications.