การบูรณาหลักธรรมและกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคซึมเศร้าของผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงใหม่

Main Article Content

พระมหาบุญนา ฐานวีโร
พระมหาฉัตรชัย ฉุตฺชโย
พระอธิวัฒน รตฺนวณ์โณ
ประดิษฐ์ คำมุงคุณ
วันดี บุญล้อม

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพหลักธรรมและกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อเสริมสุขภาพและป้องกันโรคซึมเศร้าของผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงใหม่ 2) บูรณาการหลักธรรมและกิจกรรมทางพุทธศาสนาเพื่อเสริมสุขภาพและป้องกันโรคซึมเศร้าของผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี ทั้งวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างการวิจัย โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงคือ พระสงฆ์ปกครองตำบลแม่สา เจ้าอาวาสวัดแม่สาหลวง และพระสงฆ์นักเทศน์ประจำโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลแม่สา อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ประกอบกับการสนทนากลุ่ม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในส่วนของข้อมูลเชิงปริมาณนั้นทำการเก็บแบบสอบถามจำนวน 85 ชุด และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก ทั้งนี้ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติด้วยคอมพิวเตอร์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการบูรณาการหลักธรรมฯ ผู้สูงอายุในชุมชนส่วนใหญ่ไม่มีสภาวะซึมเศร้า โรงเรียนผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมจากภาคีเครือข่ายร่วมกัน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบล คณะสงฆ์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลร่วมกัน และกิจกรรมฝึกการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้นสำหรับผู้สูงอายุช่วยเสริมสุขภาพและป้องกันโรคซึมเศร้าของผู้สูงอายุ
2. การบูรณาการหลักธรรมฯ พบว่า หลักธรรม สันโดษพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่หลงกระแสวัตถุนิยมตามยุคโลกาภิวัตน์ และสามารถบรรเทาโรคซึมเศร้าด้วยกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา คือ กรรมฐาน ได้แก่ สมถกรรมฐาน โดยการฝึกสมาธิเพื่อระงับกิเลสและความรู้สึกเศร้าหมองทั้งปวง และวิปัสสนากรรมฐานผ่านอริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ผู้บริหารคณะสงฆ์ควรให้ความสำคัญการส่งเสริมพัฒนาผู้สูงอายุให้มากขึ้น และชุมชนควรร่วมกันทำแผนด้านการพัฒนาผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อการดูแลผู้สูงอายุแบบต่อเนื่องโดยใช้หลักธรรมและกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ และป้องกันโรคซึมเศร้าของผู้สูงอายุ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ฐานวีโร พ. ., ฉุตฺชโย พ. ., พระอธิวัฒน รตฺนวณ์โณ, คำมุงคุณ ป. ., & บุญล้อม ว. . (2022). การบูรณาหลักธรรมและกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคซึมเศร้าของผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงใหม่. วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, 22(2), 261–272. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/dhammathas/article/view/256565
ประเภทบทความ
บทความวิจัย (Research Article)

เอกสารอ้างอิง

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2560). สุขภาพจิตไทย พ.ศ.2546-2550. กรุงเทพฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.

ประภัสสร กิมสุวรรณวงศ์. (2555). การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนา. วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์, 8(3), 19-42.

มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2556). รายงานประจำปี สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2555. นนทบุรี: เอสเอส พลัส มีเดีย.

ภิรมย์ เจริญผล. (2553). ศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ: กรณีศึกษา

ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ จังหวัดนครปฐม. (วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต). พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

พระภูชิสสะ ปญฺญาปโชโต. (2562). การเสริมสร้างสุขภาวะตามหลักภาวนา 4 ของผู้สูงอายุในตำบลยางฮอม อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย. วารสาร มจร การพัฒนาสังคม, 4(1), 49-63.

พระราเชนทร์ วิสารโท. (2560). บูรณาการพุทธธรรมกับระบบการดูแลสุขภาพระยะยาว สำหรับผู้สูงอายุของอำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ. วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 4(2), 76-91.

สมจิตร เสริมทองทิพย์ และคณะ. (2560). ผลของโปรแกรมการบำบัดทางปัญญาบนพื้นฐานของสติต่อภาวะซึมเศร้าในผู้เป็นเบาหวาน. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 25(3), 66-75.

สุนันทา เอ้าเจริญ และคณะ. (2560). ผลของโปรแกรมการลดภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคติดต่อไม่เรื้อรังด้วยพุทธบูรณาการ. วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์, 5(1), 89-102.

สุพาภรณ์ กันยะติ๊บ. (2560). หลักพุทธธรรมกับการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ: กรณีศึกษาสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง. (วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สา. (2563). สถิติผู้สูงอายุตำบลแม่สาประจำปี 2563. เชียงใหม่: กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สา.

อุเทน ลาพิงค์. (2561). การพัฒนาสุขภาวะทางสังคมของผู้สูงอายุโดยใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในภาคเหนือ.วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, 18(2), 233-243.