การศึกษาความรุนแรงของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งกันของนักเรียน ในโรงเรียนอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
คำสำคัญ:
พฤติกรรมการกลั่นแกล้ง, ความรุนแรง, โรงเรียนมัธยมศึกษาบทคัดย่อ
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การศึกษา 1.เพื่อศึกษาลักษณะของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งกัน 2.เพื่อศึกษาระดับความความรุนแรงของพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง 3.เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลทำให้เกิดพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง ในโรงเรียนมัธยมศึกษาเขตอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลกเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) โดยผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม(Questionnaire) กับกลุ่มตัวอย่างนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาเขตอำเภอเมืองพิษณุโลก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 จำนวน 388 ชุด โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบและลักษณะของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งที่พบมากที่สุดมีดังนี้ 1.รูปแบบพฤติกรรมการกลั่นแกล้งทางคำพูด คิดเป็นร้อยละ 82.0 ซึ่งถูกกลั่นแกล้งในลักษณะของการ การล้อเลียน การนินทา และการเย้าแหย่ รองลงมารูปแบบพฤติกรรมการกลั่นแกล้งทางร่างกาย คิดเป็นร้อยละ 68.0 ที่ระบุว่าเคยถูกกลั่นแกล้งทางร่างกาย ซึ่งถูกกลั่นแกล้งในลักษณะของการ การแตะ การตี การผลัก รูปแบบพฤติกรรมการกลั่นแกล้งเชิงสัมพันธภาพ คิดเป็นร้อยละ 45.0 ที่ระบุว่าเคยถูกกลั่นเชิงสัมพันธภาพ ซึ่งถูกกลั่นแกล้งในลักษณะของการการกลั่นแกล้ง โดยใช้กลุ่มเพื่อนกดดันให้แยกจากกลุ่ม โดยใช้กลุ่มเพื่อนกระจายข่าวลือให้ถูกเข้าใจผิดในแง่ลบ และ โดยใช้กลุ่มเพื่อนประณาม กล่าวโทษ ไม่ให้เพื่อนเข้าใกล้
ในส่วนระดับความรุนแรงจำนวนครั้งของการถูกกลั่นแกล้งพบว่า นักเรียนถูกกลั่นแกล้งทางร่างกาย ทางคำพูด และเชิงสัมพันธภาพ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และมากถึงจำนวนมากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ และในส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อการถูกกลั่นแกล้ง พบว่า ปัจจัยด้านครอบครัวพบว่า นักเรียนเคยถูกคนในครอบครัวตีทันทีเมื่อทำให้เขาโกรธ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดถึง 3.58 และ นักเรียนเคยถูกเปรียบเปรยว่านักเรียนด้อยกว่าคนในครอบครัวมีค่าเฉลี่ยมากถึง 3.37 และ เวลานักเรียนต้องการปรึกษาปัญหากับคนในครอบครัวปรากฏว่าไม่มีใครรับฟังปัญหาของนักเรียน มีผลระดับปานกลาง 3.22 ปัจจัยแวดล้อมด้านเพื่อนพบว่า เมื่อนักเรียนเห็นเพื่อนแกล้งคนอื่นนักเรียนก็จะเข้าไปร่วมทันที มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับปานกลาง 3.37 และ กลุ่มของนักเรียนชอบใช้กำลังในการกลั่นแกล้งผู้อื่น มีค่าเฉลี่ยระดับปานกลาง 3.36 และ เพื่อนของนักเรียนทำตัวเป็นเจ้าถิ่นประจำห้อง มีค่าเฉลี่ยระดับปานกลาง 3.36 ปัจจัยแวดล้อมด้านสื่อ นักเรียนอ่านหนังสือการ์ตูนที่มีความรุนแรงและนำมาใช้ในชีวิตจริง มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดถึง 3.54 และ นักเรียนเลียนแบบการทำให้ผู้อื่นอับอายจาก โทรทัศน์ หรืออินเตอร์ มาใช้ในชีวิตจริง มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดถึง 3.48 และ นักเรียนพูดจาหยาบคายที่ได้ยินจากตัวละครที่นักเรียนชื่นชอบทาง โทรทัศน์ ภาพยนตร์ การ์ตูน มาใช้ในชีวิตจริง มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดถึง 3.45
Abstract
This research have educational objectives 1. To study the characteristics of bullying behavior 2.To study the severity of bullying behavior 3. To study the factors affecting the bullying behavior In secondary schools, Muang district, Phitsanulok province was a quantitative research. (Quantitative research) in which the researcher collected data using a questionnaire with a sample of students in secondary schools in Mueang Phitsanulok District. 350 sets of Mathayomsuksa 1 to Year 6 levels were analyzed by statistical data. including mean, percentage, standard deviation The results revealed that the most common patterns and characteristics of bullying behavior are as follows: 1. Speech bullying behavior patterns 82.0 percent were bullied in the form of teasing, gossip and teasing. followed by physical bullying behavior patterns 68.0 percent said they had experienced physical bullying. which is bullied in the manner of tapping, hitting, pushing, the relationship model of bullying behavior 45.0 percent said they had been correlated. which was bullied in the manner of bullying by using a group of friends to pressure them to separate from the group Using a group of friends to spread rumors to be misunderstood in a negative light and by using a group of friends to condemn, blame, do not let friends close In the severity level, the number of times of being bullied was found. Students were subjected to physical, verbal, and relational bullying at least once a week. and up to more than 5 times a week As for the factors affecting the bullying, it was found that the family factor found that The student had been immediately beaten by his family when he made him angry. with the highest average of 3.58 and students were used to be compared to students who are inferior to those in their family with an average of 3.37 and when students want to discuss problems with family members, it appears that no one listens to the students' problems. The effect was moderate. 3.22 Peer environmental factors found that When students see their peers teasing others, they will immediately join. The mean was at a moderate level of 3.37 and the group of students liked to use force to bully others. with a moderate mean of 3.36 and the students' friends acted as class residents. The mean was at a moderate level 3.36 media environment factors. Students read violent manga and use it in real life. with the highest average of 3.54, and students imitate the humiliation of others from television or the Internet to use in real life. with the highest average of 3.48, and the students used vulgar words they heard from their favorite characters on television, film, and cartoons in real life. has the highest average of 3.45
เอกสารอ้างอิง
กรมสุขภาพจิต. (2561). ไทยอันดับ2 “เด็กรังแกกันในโรงเรียน” พบเหยื่อปีละ 6 แสนคน. สืบค้นเมื่อวันที่ 12
ธันวาคม 2564, เข้าถึงได้จาก https://www.dmh.go.th/newsdmh/view.asp?
กรมสุขภาพจิต. (2563). ห่วง!! พฤติกรรม "บูลลี" เด็กไทยติดอันดับ 2 ของโลก เกือบครึ่งคิดตอบโต้เอาคืน. สืบค้น
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2564, เข้าถึงได้จาก https://www.dmh.go.th/news dmh/view.asp?id
กลุ่มศึกษาเพื่อความเป็นไท. (2562). ความรุนแรงในสถานศึกษา: การกลั่นแกล้ง (Bullying). สืบค้นเมื่อวันที่ 12
ธันวาคม 2564, เข้าถึงได้จาก https://elsiam.org/bully-in-school/
กองบรรณาธิการ HONESTDOCS. (2562). การกลั่นแกล้ง 6 ประเภทที่พ่อแม่ควรรู้จักไว้. สืบค้นเมื่อวันที่ 17
ธันวาคม 2564, เข้าถึงได้จาก www.honestdocs.co/6-types-of-bullying-parents-should-know
ชุตินาถ ศักรินทร์กุล และคณะ. (2557). ความชุกของการข่มเหงรังแกและปัจจัยด้านจิตสังคมที่เกี่ยวข้องในเด็ก
มัธยมต้นเขตอ าเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่.
พวงชมพู ประเสริฐ. (2563). 'บูลลี่' ไม่ใช่เรื่องเด็กๆ ความรุนแรงที่รอวันปะทุ!!!. สืบค้นเมื่อวันที่ 17
ธันวาคม 2564, เข้าถึงได้จาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/861456
เนรัญชรา ไชยยา. (2559). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการรังแกของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ในจังหวัดล าปาง. (ปริญญามหาบัณฑิต) สุโขทัย. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ปวริศร์ กิจสุขจิตผล. (2555). ปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดการรังแกกันในโรงเรียนมัธยมสตรี ในกรุงเทพมหานครตาม
แนวทฤษฎีเรียนรู้ของโรนัลด์ แอล เอเคอร์. (ปริญญามหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยมหิดล:ม.ป.ท.
พรพรรณ ทองทนงศักดิ์. (2560). การศึกษาพฤติกรรมการถูกรังแกของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียน
เขตหนองแขม สังกัดสานักการศึกษา กรุงเทพมหานคร สาขาวิทยบริการ. กรุงเทพมหานคร (หัวหมาก)
มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก. (2550). ครูมือครูการจัดระบบความปลอดภัยในโรงเรียน. (พิมพ์ครั้งที่1).
กรุงเทพ: บริษัท ส.เสริมมิตร การพิมพ์ จ ากัด
มูลนิธิยุวพัฒน์. (2562). การกลั่นแกล้ง (Bullying) ความรุนแรงในสังคม. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564,
เข้าถึงได้จากhttps://www.yuvabadhanafoundation.org/
ศูนย์ให้ค าปรึกษาสุขภาพจิตและครอบครัว. (2562). โดนแกล้งตั้งแต่เด็ก จะมีผลอย่างไรกับการเป็นผู้ใหญ่ใน
อนาคต. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564, เข้าถึงได้จากhttps://www.istrong.co/single-
post/Bullying-effect
ศรัญญา อิชิตะ. (2555). การศึกษาพฤติกรรมความรุนแรงของนักเรียนวัยรุ่น. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะ
ศึกษาศาสตรมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปที่ 7 ฉบับที่ 2 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556
ศิริรัตน์ แอดสกุล. (2555). ความรู้เบื่องต้นทางสังคมวิทยา. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อัฐสิมา มาศโอสถ และคณะ. (2562). การถูกกลั่นแกล้งกับภาวะซึมเศร้าในนักเรียนไทยมุสลิมมัธยมศึกษา.
สาขาวิชาโรคติดเชื้อและวิทยาการระบาด คณะสาธารณสุขศาสตร์.
Swearer M., Susan, Espelage L., Dorothy and Napolitano A., Scott. (2009). Bullying
Prevention and Intervention: Realistic Strategies for Schools. New York: Guilford Press
WHO. Thailand 2015 Global School Based Student Health Survey. Bangkok : World Health
Organization, Thailand Country Office, 2017.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารการจัดการและพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ประกาศเกี่ยวกับลิขสิทธิ์
- เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับวิทยาลัยการจัดการและพัฒนาท้องถิ่นถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
- บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวิทยาลัยการจัดการและพัฒนาท้องถิ่นถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวารสารวิทยาลัยการจัดการและพัฒนาท้องถิ่น หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อการกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวิทยาลัยการจัดการและพัฒนาท้องถิ่นก่อนเท่านั้น