การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยการใช้รูปแบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน ในการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง พอลิเมอร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ

ผู้แต่ง

  • ธรรมรัตน์ แก้วสมนึก
  • สิรินธร สินจินดาวงศ์

คำสำคัญ:

การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน,, การเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน, ทักษะการแก้ปัญหา, เจตคติทางวิทยาศาสตร์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน (2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน เรื่อง พอลิเมอร์ (3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาหลังการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 60 (4) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาภายหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน เรื่อง พอลิเมอร์ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ร้อยละ 60 และ (5) เพื่อศึกษาระดับเจตคติทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน เรื่อง พอลิเมอร์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 283 คน ใช้การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยมีดังนี้ (1) แผนจัดการเรียนรู้เรื่อง พอลิเมอร์ จำนวน 3 แผนจัดการเรียนรู้ เวลาเรียน 12 ชั่วโมง ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of congruence: IOC เท่ากับ 0.67-1.00 (2) แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหา ค่าความยากง่าย (p) มีค่าระหว่าง 0.20 -0.86 และค่าอำนาจความจำแนก (r) มีค่าระหว่าง 0.27-0.54  (3) แบบวัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of congruence: IOC เท่ากับ 0.67-1.00 ค่าสถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test dependent และ one sample t-test ผลวิจัยสรุปได้ดังนี้ (1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน มีทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน มีทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย ใช้รูปแบบแบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน มีทักษะการแก้ปัญหาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (4) นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน มีทักษะการแก้ปัญหาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (5) นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้รูปแบบสืบเสาะ 5 ขั้นตอน มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.87 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.83

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-06-30