เจ้าแผ่นดินนอนแร: มองไทสิบสองปันนา ผ่านงานศพเจ้าหม่อมคำลือเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้าย
Main Article Content
บทคัดย่อ
1 ตุลาคม 2560 เจ้าหม่อมคำลือ ได้เสียชีวิตลงที่มหานครคุนหมิง รวมอายุได้ 89 ปี การจากไปของท่านในความรับรู้ของชาวลื้อทั้งที่อาศัยอยู่ในและนอกประเทศจีน คือการสวรรคตของเจ้าแผ่นดิน กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรสิบสองปันนาเดิม การตายของเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้าย นำไปสู่การรื้อฟื้นประเพณีและพิธีกรรมตามจารีตงานศพเจ้าไท สิบสองปันนาพุทธสมาคม เครือญาติ และชาวบ้านได้ร่วมกันจัดขึ้น ตามความคิดความเชื่อและเพื่อแสดงความภักดีที่พวกเขายังมีต่อเจ้าแผ่นดิน โดยอาศัยข้อมูลจากการทำงานภาคสนามหลายครั้ง (ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2561 – ธันวาคม 2562) ในสิบสองปันนา บทความนำเสนอ แง่มุมใหม่ต่อการพิจารณาทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างรัฐจีนกับชาวลื้อสิบสองปันนาในบริบทของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (จากสาธารณรัฐมาสู่คอมมิวนิสต์จีน) และการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนำไปสู่สภาวะพลัดถิ่นและการแทนที่ถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกเขา ในระบบรัฐจารีต “เจ้าแผ่นดิน” เป็นทั้ง ตัวแทนรัฐ สัญลักษณ์อำนาจ และศูนย์รวมเชิงจิตวิญญาณของชาวลื้อ ในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทในอดีต อัตลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดของ “ความเป็นลื้อ” คือการที่พวกเขามีผู้ปกครองสูงสุด คือมีเจ้าแผ่นดินเป็นของตน บทความเสนอว่า เมื่อพิจารณาผ่านการรื้อฟื้นจารีตประเพณีงานศพเจ้าไทในบริบทการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากโครงการพัฒนาสิบสองปันนาไปสู่ความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของพื้นที่เมือง การยึดที่นาและป่าเขา การจัดงานศพเจ้าแผ่นดินและพิธีเลี้ยงผีเจ้าจึงมีความหมาย กลายเป็นจารีตและความคิดความเชื่อที่ตื่นฟื้นขึ้นใหม่ เป็น “พื้นที่เชิงสัญลักษณ์” ที่ชาวลื้อแสดงออกซึ่งความโหยหาอาลัยต่อการจากไปของ “เจ้าแผ่นดิน” เป็นความเคลื่อนไหวที่เสมือนภาพสะท้อน “โครงสร้างรัฐจารีต” ที่พวกเขาสร้างซ้ำเพื่อสนทนาโต้ตอบต่อการคุกคามจากโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจการค้าที่ผูกขาดโดยชาวฮั่น และการควบคุมบงการของรัฐคอมมิวนิสต์จีน
Article Details
ลิขสิทธิ์@ของวารสารมานุษยวิทยา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), กรุงเทพฯ, ประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติม:
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
เอกสารอ้างอิง
Gillette, M. 2000. Between Mecca and Beijing. Palo Alto. CA: Stanford University Press.
Harrell, S. 1995. “Introduction: Civilizing Projects and the Reaction to Them”. in Steven Harrell (ed), Cultural Encounters on China’s Ethnic Frontiers. (pp. 3-36). Seattle: University of Washington Press.
Hsieh, S. C. 1989. Ethnic-Political Adaptation and Ethnic Change of the Sipsong Panna Dai: An Ethnohistorical Analysis. Ph.D. Dissertation, University of Washington, Seattle.
Hsieh, S. C. 1995. “On the Dynamics of Tai/Dai-Lue Ethnicity”. in Steven Harrell (ed), Cultural Encounters on China’s Ethnic Frontiers. (pp. 301-328). Seattle: University of Washington Press.
Kaup, K. P. 2000. Creating the Zhuang. Boulder. CO: Lynne Rienner.
Keyes, C. 1992. Who are the Lue Revisited? Ethnic Identity in Laos, Thailand, and China. Working Paper, Centre for International Studies. Cambridge: MIT.
Litzinger, R. 2000. Other Chinas. Durham. NC: Duke University Press.
McCarthy, S. 2009. Communist Multiculturalism. Seattle and London. University of Washington Press.
Moerman, M. 1965. “Ethnic Identification in a Complex Civilization: Who are the Lue?”, American Anthropologist, 67(5) (Part 1): 1215-1230.
Mueggler. E. 2001. The Age of Wild Ghosts. Berkeley: University of California Press.
Scott, J. C. 1990. Domination and the Arts of Resistance: Hidden Transcripts. Yale University Press.
Turton, A. 2000. “Introduction to Civility and Savagery”. in Turton, A. (ed), Civility and Savagery. (pp. 3-31). Richmond, Surrey: Curzon.
Wasan Panyagaew. 2008. “Moving Dai: The Stories of a Minority band from the Upper Mekong”. in Challenging the Limits. Chiang Mai: Mekong Press: 307-329.
Wijeyewardene, G. 1993. “Ethnicity and Nation: The Tai in Burma, Thailand and China (Sipsong Panna and Dehong)”. paper presented at the 5th International Conference on Thai Studies. SOAS, London.
Wyatt, D. K. 2003. Thailand: A Short History (2nd edition), New Haven and London: Yale University Press.