สภาพและแนวทางการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกีฬา ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ

Main Article Content

พิเชฐ สยมภูวนาถ

บทคัดย่อ

          การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกีฬาในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย คือ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ผู้อำนวยการกองพัฒนานักศึกษา เจ้าหน้าที่ทางกีฬา อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมกีฬา  ผู้ฝึกสอนกีฬา  ประธานชมรมกีฬาหรือนักกีฬา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ รวมจำนวน 131 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา
          ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับสภาพและแนวทางการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกีฬาในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือที่ครอบคลุมทั้งในด้านบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์สถานที่ และการจัดการ โดยภาพรวมนั้นอยู่ในระดับดีมาก (=3.55) อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในรายละเอียด การศึกษาพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับดีมากยกเว้นด้านวัสดุอุปกรณ์สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกการจัดการกีฬามีค่าเฉลี่ยในระดับปานกลางเท่านั้น (=3.46) เนื่องมาจากวัสดุอุปกรณ์กีฬา สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกอาจยังมีจำนวนไม่เพียงพอในการให้บริการกับนักศึกษาและผู้มาใช้บริการ นอกจากนี้วัสดุอุปกรณ์กีฬา สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกบางประการอาจยังไม่มีมาตรฐานหรือยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยแนวทางการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกีฬาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นควรมีดังนี้ 1) ด้านบุคลากร ควรได้รับการฝึกอบรม ศึกษาดูงาน ฝึกปฏิบัติงาน และศึกษาต่อ 2) ด้านงบประมาณ ควรมีการสำรวจความต้องการใช้งบประมาณและการจัดสรรให้เพียงพอเหมาะสมต่อความต้องการใช้ และมีการหาแหล่งทุกจากภายนอก 3) ด้านวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก ควรมีมาตรฐาน จำนวนเพียงพอ มีความปลอดภัยและทันสมัย 4) ด้านการบริหารจัดการกีฬา ควรมีนโยบายแผนดำเนินการ ที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติงานได้จริง พร้อมมีการติดตาม ควบคุม ประเมิน ตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขอย่างเป็นระบบ การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนการจัดตั้งชมรมกีฬา

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
สยมภูวนาถ พ. (2021). สภาพและแนวทางการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกีฬา ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ. Journal of Modern Learning Development, 6(4), 285–296. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jomld/article/view/248891
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

ธงชัย สันติวงษ์. (2541). หลักการจัดการ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช.

พัชรี คงดี. (2556).ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดนครสวรรค์. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.

รัตนะ บัวสนธ์และคณะ. (2553). ภาวะสุขภาพจิตของนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก. คณะศึกษาศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

วรรณพร ทองตะโก. (2551). การศึกษาการบริหารกิจกรรมกีฬาของสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ.วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา,บัณฑิตวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศรุติ เดชวิถี และ ประเสริฐไชย สุขสอาด. (2555). หลักในการพัฒนากีฬามหาวิทยาลัยและการส่งเสริมกีฬา.วารสารสมาคมการจัดการกีฬาแห่งประเทศไทย. 1 (3), 28-44

ศักดิ์ชาย พิทักษ์วงศ์.(2551). การจัดทำแผนและระบบการพัฒนากีฬาเป็นเลิศรูปแบบ (Model) การพัฒนากีฬาเป็นเลิศ 4 รูปแบบ. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา.

สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2554). สรุปสำหรับผู้บริหาร การสำรวจพฤติกรรมการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายของประชากร. กรุงเทพมหานคร: กองสถิติสังคม.

อาพัทธ์ เตียวตระกูล. (2555). รูปแบบการจัดการนิสิตนักศึกษาที่มีความสามารถพิเศษทางการกีฬาในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ. ดุษฏีนิพนธ์ปรัชญาดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัยนเรศวร.

อัษ แสนภักดี. (2558). รูปแบบของปัจจัยด้านการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของกีฬาเพื่อความเป็นเลิศในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การออกกำลังกายและการกีฬา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยบูรพา.

Dubrin, A. J., & Ireland, R. D. (1993). Management and organization (2 nded.). Ohio: South Westem.

Drucker, P. F. (2005). Managing oneself. Harvard Business Review (January): 100-109.