แนวทางการจัดการศาสนสมบัติของวัดในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม

บทคัดย่อ

          การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด )ศึกษาสภาพทั่วไปในการจัดการศาสนสมบัติของวัด 3)เสนอแนวทางการจัดการศาสนสมบัติของวัด เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูป/คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแนวทางการสัมภาษณ์ โดยเสนองานวิจัยในลักษณะพรรณนาวิเคราะห์
          ผลการวิจัยพบว่า
          1. ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ได้แก่ 1) เกิดการบริการเชิงสงเคราะห์ประชาชนตามหลักพระพุทธศาสนา 2) ใช้การควบคุมตรวจสอบให้เกิดการจัดการศาสนสมบัติตอบความต้องทุกภาคส่วน 3) การแต่งตั้งบุคลากรที่ดูแลรักษาและดำเนินการเป็นการดึงบุคคลเข้าช่วยเหลืองานจัดการศาสนสมบัติวัดของเจ้าอาวาส 4) การทำบัญชีรักษาศาสนสมบัติวัดและเงินผลประโยชน์ของวัดเป็นวิธีการแบบแผนที่เป็นฐานข้อมูลช่วยให้เจ้าอาวาสตัดสินใจจัดการศาสนสมบัติวัดได้เหมาะสม และ 5) จัดทำบัญชีให้เป็นรูปแบบที่เหมาะสม
          2. สภาพทั่วไปในการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในภาพรวมทั่วไปการจัดการทั่วไปอยู่ในสภาพที่เหมาะสมแต่ขาดการชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องโดยเฉพาะการจัดทำแผนงานระเบียบการจัดการศาสนสมบัติให้เป็นระบบมีต้นแบบให้เจ้าอาวาสสามารถปฏิบัติงานจัดการศาสนสมบัติได้ทันทีรูปแบบการจัดการศาสนสมบัติของวัด มีรูปแบบการจัดการ 2 รูปแบบคือ 1) รูปแบบการจัดการศาสนสมบัติของวัดตามหลักกฎหมายดำเนินการตามคู่มือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครพนม 2) รูปแบบการจัดการศาสนสมบัติของวัดตามจารีตประเพณี
          3. แนวทางการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในการปฏิบัติงานการจัดการศึกษาศาสนสมบัติของวัดตามเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยแนวทางการพัฒนาการจัดการศาสนสมบัติวัดทั้ง 5 รูปแบบ ดังนี้ 1) ต้องบริการในลักษณะสงเคราะห์ประชาชนตามหลักเมตตาธรรมใช้ที่ดินวัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2) ต้องเน้นการควบคุมตรวจสอบโดยปรับเปลี่ยนไปตามความสำคัญของปัจจัย 3) ความเหมาะสมกับปัจจัยด้านใดด้านหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด 4) การทำบัญชีรักษาศาสนสมบัติวัดและเงินผลประโยชน์ของวัดเน้นวิธีการจัดทำบัญชีตามที่กฎหมายกำหนด 5) รูปแบบที่เหมาะสมโดยดำเนินการปรับรูปแบบบัญชีตามความเหมาะสมกับสภาพที่ผู้ปฏิบัติสามารถจัดทำบัญชีได้