ความสัมพันธ์ระหว่างแบบลายนิ้วมือและนักเรียนที่มีพฤติกรรมการเล่นเกม
Main Article Content
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างแบบลายนิ้วมือชนิดต่าง ๆ กับนักเรียนที่มีแนวโน้มติดเกม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คืออาสาสมัครนักเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาที่มีพฤติกรรมการเล่นเกมที่แตกต่างกัน จำนวน 45 คน โดยทำการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูล ด้วยอุปกรณ์สำหรับรวบรวมข้อมูลลายนิ้วมือ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โปรแกรมพิมพ์ภาพลายนิ้วมืออัตโนมัติปราศจากหมึก สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์เพียร์สั
ผลการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างแบบลายนิ้วมือและนักเรียนที่มีพฤติกรรมการเล่นเกมที่แตกต่างกัน พบว่า มือซ้ายของนักเรียนมีแบบลายนิ้วมือมัดหวายมากที่สุด (ร้อยละ 64.46) โดยนิ้วมือของมือซ้ายแบบลายนิ้วมือมัดหวายมีมากที่สุด คือ นิ้วก้อย (ร้อยละ 77.8) มือขวาของนักเรียนมีแบบลายนิ้วมือมัดหวายมากที่สุด (ร้อยละ 62.24) สำหรับนิ้วมือของมือขวาแบบลายนิ้วมือมัดหวายมีมากที่สุด คือ นิ้วก้อย นิ้วกลาง (ร้อยละ 75.60) และลายมัดหวายมีค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันมากที่สุด (r = 0.815) ลายก้นหอยมีค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามมากที่สุด (r = - 0.736) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < 0.01
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กมลวรรณ อังศรีสุรพร. (2554). การศึกษาความสามารถทางพหุปัญญาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมตามรูปแบบพหุปัญญาเพื่อการเรียนรู้โดยใช้นิทานเป็นสื่อ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
กุลนรี หาญพัฒนชัยกูร และคณะ. (2564). พฤติกรรมและผลกระทบจากการติดเกมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนในเขตเทศบาลนครขอนแก่น. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9: วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัย สิ่งแวดล้อม. 15 (38). 5
จิราภรณ์ อรุณากูร คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. (2561). เด็กติดเกม”
ปัญหาสำคัญที่พ่อแม่ต้องดูแล. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565. แหล่งที่มา
แหล่งที่มา: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/ondemand/เด็กติดเกม-ปัญหาสำคัญ/
จุฑามาศ แหนจอน. (2558). สมองกับอารมณ์: มหัศจรรย์ความเชื่อมโยง. วารสารราชพฤกษ์. 13 (3), 9-19
บุญเลี้ยง จอดนอก. (2554). [SCIED] ประสาทวิทยาศาสตร์ (NEUROSCIENCE) กับวิทยาศาสตร์ศึกษา
(SCIENCE EDUCATION)” วารสาร สควค. 18, 10-11.
ปัญจนาฏ วรวัฒนชัย. (2559). กลไกสมองสองซีกกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์. วารสารสารสนเทศ. 15 (2), 1-12.
สมทรง ณ นคร, นิยะดา ห่อนาค, สุพรรณี อึ้งปัญสัตวงศ์, วิชุดา ไชยศิวามงคล, อำนวย ศรีวงศ์กูล
และรัศมี สุวรรณวีระกำธร. (2552). วิทยาศาสตร์และพันธุศาสตร์ลายนิ้วมือ. วารสารสำนัก
บริหารการวิจัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 4 (3), 35-39.
สมทรง ณ นคร และคณะ. (2553). ความสัมพันธ์ระหว่างแบบลายนิ้วมือและพหุปัญญา. วารสารสำนักบริหารการวิจัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 16 (8), 951-964.
Babler WJ. (1978). Prenatal selection and dermatoglyphic patterns. Am J Phys Anthropol, 48 (1), 7-21.
Campbell NA, Reece JB. (2002). Biology. New York: Benjamin Cummings Pearson Education.
Der Kaloustian, V.M., Kurban, A.K. (1979). Dermatoglyphics. In: Genetic Diseases of the Skin. Springer, Berlin, Heidelberg. Online. Retrieve https://doi.org/10.1007/978-3-642-67152-4_17
Galton, F. (1892). Fingerprints. London: Macmillan Co. online. Retrieved 2 February 2022, from http://www.biometricbits.com/Galton-Fingerprints-1892.pdf
Gardner, H. (1999). Intelligence reframed: Multiple intelligences for the 21st century. New York: Basic Books.
Holt, S. B. (1973). The significance of dermatoglyphics in medicine. A short survey and
summary. Clin. Pedatr (Philadelphia), 12, 471–484
Mertens TR, Hammersmith RL. (1998). Genetics: laboratory investigations. 11th ed. New Jersey: Prentice Hall Upper Saddle River.
Mostafa Najafi. (2009). Association between Finger Patterns of Digit II and Intelligence
Quotient Level in Adolescents. Iran J Pediatr, 19 (3), 277-284