การพัฒนาแผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัวในสภาพการณ์วิกฤติเพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาแผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัวในสภาพการณ์วิกฤติเพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 2) ศึกษาประสิทธิผลของการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัวในสภาพการณ์วิกฤติเพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ดำเนินการวิจัยโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากร นักเรียน ผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 ปีการศึกษา 2562 - 2564 ปีละจำนวน 211 คน ได้มาจากการใช้ตารางการกำหนดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie & Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับแบบสำรวจรายการ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า
1. แผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัวในสภาพการณ์วิกฤติเพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะ ของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 พบว่า ได้พัฒนาตามมีการพัฒนาตามขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1การวางแผน (Planning) มี 6 ขั้น คือ (1) ขั้นเตรียมการจัดทำแผนกลยุทธ์ (2) ขั้นวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของโรงเรียน (3) ขั้นประเมินสถานภาพของโรงเรียน (4) ขั้นจัดวางทิศทางของโรงเรียน (5) ขั้นกำหนดกลยุทธ์ของโรงเรียน และ (6) ขั้นตรวจสอบทบทวนและปรับปรุงแผนกลยุทธ์ ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติ (Action) ขั้นตอนที่ 3 การสังเกตการณ์ (Observation) และขั้นที่ 4 การสะท้อนผล (Reflection) พบว่า ประกอบด้วย 6 กลยุทธ์ (CBSRUM) ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 กระชับหลักสูตรสถานศึกษา (Concise Course) กลยุทธ์ที่ 2 จัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) กลยุทธ์ที่ 3 เสริมทักษะการเรียนรู้ (Skill enhancement) กลยุทธ์ที่ 4 สอนซ้ำย้ำทวนด้านความรู้ (Repeating the knowledge) กลยุทธ์ที่ 5 พัฒนาครูให้ปรับตัวเป็นนักสื่อสารและการใช้ดิจิทัล (Up skill development) และกลยุทธ์ที่ 6 สร้างระบบดูแลสุขภาพจิตนักเรียน (Mental health care) โดยมีโครงการขับเคลื่อนกลยุทธ์ทั้งสิ้น 29 โครงการ ซึ่งกลยุทธ์ทั้งหมดมีความเหมาะสม มีความสอดคล้อง มีความเป็นไปได้และมีความเป็นประโยชน์
2. ประสิทธิผลของการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัวในสภาพการณ์วิกฤติ เพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 พบว่า
2.1 ระดับความสำเร็จการพัฒนาแผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัวในสภาพการณ์วิกฤติ เพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครูและบุคลากรและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า โดยรวมมีความสำเร็จระดับมากที่สุดเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความสำเร็จระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการปฏิบัติ (Action) ด้านการวางแผน (Planning) และด้านการสะท้อนผล (Reflection) ตามลำดับและด้านที่มีความสำเร็จระดับมาก ได้แก่ ด้านการสังเกตการณ์ (Observation)
2.2 ผลผลิตที่เกิดจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัว ในสภาพการณ์วิกฤติ เพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ คุณลักษณะที่พึงประสงค์และทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21ของนักเรียน ปีการศึกษา 2562 ปีการศึกษา 2563 และปีการศึกษา 2564 มีระดับคุณภาพดีเยี่ยม
2.3 ผลการประเมินความพึงพอใจของครูและบุคลากร นักเรียน ผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีต่อผลการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้แบบปรับตัวในสภาพการณ์วิกฤติเพื่อลดการสูญเสียความรู้และทักษะของนักเรียนในโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 พบว่าโดยรวมทุกด้าน มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ครูและบุคลากร นักเรียนผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความพึงพอใจระดับมากที่สุดทุกด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านคุณภาพของผู้เรียน ด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และด้านกระบวนการบริหารและการจัดการ ตามลำดับ
Article Details
เอกสารอ้างอิง
ภูมิพัฒน์ ศรีวชิรพัฒน์ (2565). กลยุทธ์เพื่อลดภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนไทยจากการเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล. 9 (1), 1-16.
โรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ (2564). แผนปฏิบัติการประจำปีการศึกษา 2564. เอกสารอัดสำเนา.
ลัดดาวัลย์ บุญเลิศ. (2554). การวางแผนกลยุทธ์กับประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทาลัยศิลปากร.
วีระยุทธ ชาตะกาญจน์. (2553). การวิจัยเชิงปฏิบัติการ Action Research. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช. 29 (1), 1-7.
สุนันทา ทวีผล. (2551). ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการให้บริการด้านให้คำปรึกษาแนะนำปัญหาด้านกฎหมายของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายช่วยเหลือทางกฎหมาย 3 (สคช.). ปัญหาพิเศษรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทั่วไป วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยบูรพา.
สรชัย พิศาลบุตร. (2551). การวิจัยตลาด. กรุงเทพมหานคร: วิทยพัฒน์.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2561). แนวทางการประเมินคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาระดับปฐมวัย. ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2564).แนวทางการฟื้นตัวทางการศึกษาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่มีประสิทธิภาพและเสมอภาค.สมุทรปราการ.บริษัท เอส.บี.เค.กรพิมพ์ จำกัด.
Dinham and Stephen. (2005). Principal leadership for outstanding educational outcomes. Journal of Educational Administration. 43 (4), 338-356.
Kemmis, S & McTaggart, R. (1988). The Action Research Planer. (3rd ed.), Victoria: Deakin University.