การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวรรณคดีโดยประยุกต์วิธีเบลมเลส โพสต์มอร์เทิม เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านวิพากษ์และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ (1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวรรณคดีโดยประยุกต์วิธีเบลมเลส โพสต์มอร์เทิม เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านวิพากษ์และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต (2) ประเมินประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการเรียนการสอนวรรณคดีโดยประยุกต์วิธีเบลมเลส โพสต์มอร์เทิม (3) ขยายผลการวิจัยรูปแบบการเรียนการสอนวรรณคดีโดยประยุกต์วิธี
เบลมเลส โพสต์มอร์เทิม กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร จำนวน 27 คน กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการขยายผลการวิจัย คือนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการเรียนการสอนและคู่มือการใช้ แผนการจัดการเรียนการสอน แบบวัดทักษะการอ่านวิพากษ์ แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ แบบวัดความคิดเห็นของผู้เรียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า 1. รูปแบบการเรียนการสอนวรรณคดีโดยประยุกต์วิธีเบลมเลส โพสต์มอร์เทิมเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านวิพากษ์และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล กระบวนการเรียนการสอนมี 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ปูพื้นความเข้าใจ 2) พิสูจน์หลักฐาน 3) พิสูจน์แนวคิด
4) รายงาน 5) ถอดบทเรียน และ 6) สนับสนุนมุมมองใหม่ 2. ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 2.1) หลังใช้รูปแบบการเรียนการสอนพบว่า นักศึกษามีทักษะการอ่านวิพากษ์สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (p=.000) 2.2) ระหว่างเรียนนักศึกษามีพัฒนาการทักษะการอ่านวิพากษ์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวัดแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทุกคู่ (p=.000) 2.3) หลังใช้รูปแบบการเรียนการสอนนักศึกษามีทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (p=.000) 2.4) ระหว่างเรียนนักศึกษามีพัฒนาการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวัดแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทุกคู่ (p=.000–p.003) 2.5) ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนอยู่ในระดับดีขึ้นไป และ 3. ผลการขยายผลการวิจัยด้วยรูปแบบการเรียนการสอนพบว่า 3.1) หลังใช้รูปแบบการเรียนการสอนพบว่า นักศึกษามีทักษะการอ่านวิพากษ์สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (p=.000) 3.2) ระหว่างเรียนนักศึกษามีพัฒนาการทักษะการอ่านวิพากษ์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวัดแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทุกคู่ (p=.000) 3.3) หลังใช้รูปแบบการเรียนการสอนนักศึกษามีทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ 0.05 (p=.000) 3.4) ระหว่างเรียนนักศึกษามีพัฒนาการทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวัดแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทุกคู่ ( p= .000) และ 3.5) ความคิดเห็นของนักศึกษากลุ่มที่ได้รับการขยายผลวิจัยที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนอยู่ในระดับดีขึ้นไป
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กุสุมา รักษมณี. (2547). วรรณสารวิจัย. กรุงเทพมหานคร: แม่คำผาง.
บาหยัน อิ่มสำราญ. (2548). วิพากษ์วรรณกรรม. กรุงเทพมหานคร: ตุลารำลึก.
ประจักษ์ น้อยเหนื่อย และมาเรียม นิลพันธุ์. (2564). “การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิด Active Learning เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์และความซาบซึ้งในวรรณคดีไทยของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย.” Journal of Research and Curriculum Development. 11 (2), 138 -157.
ภัทราภรณ์ ช้อยหิรัญ. (2563). “การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการอ่าน ตีความของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตโดยใช้ RUCES MODEL. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
มาเรียม นิลพันธุ์. (2558). วิธีวิจัยทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 9). นครปฐม: ศูนย์วิจัยและพัฒนาทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (2549). สุนทรียภาพแห่งชีวิต. กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิซซิ่ง จำกัด.
สมศักดิ์ เอี่ยมคงสี. (2561). การจัดการห้องเรียนในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพมหานคร: ทริปเพิ้ล เอ็ด ดูเคชั่น
สมเสมอ ทักษิณ และคณะ. (2018). “ผลการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบ PACLE เพื่อเสริมสร้าง ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1”. Veridian E-Journal, Slipakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ. 11 (2), 136 – 155.
Allspaw, J. (2012). Blameless PostMortems and a Just Culture. Online. Retrieved March 20, 2022, from https://www. etsy.com.
Main, R.G. (1997). “Intergrating Motivation into the Design Process.” Education Technology 33 (22), 37-41.
Nunnally, J.C. (1978). Psychometric theory. (2nd Edition). New York: McGraw-Hill.