กรรม : เกณฑ์วินิจฉัยการกระทำทางพุทธศาสนาและปรัชญา
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความรู้พื้นฐานเรื่องกรรมในพุทธศาสนา 2. ศึกษาเกณฑ์วินิจฉัยการกระทำทางพุทธศาสนาและปรัชญา และ 3. วิเคราะห์กรณีตัวอย่างการกระทำตามเกณฑ์วินิจฉัยทางพุทธศาสนาและปรัชญา งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ซึ่งศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพุทธศาสนา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้เหตุผลและให้เหตุผล แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการพรรณนาเชิงวิเคราะห์
ผลการวิจัยพบว่า
กรรมเป็นคำสอนสำคัญในพุทธศาสนา หมายเอาการกระทำอันเป็นเหตุให้เกิดผลแก่ผู้กระทำ ทวารให้เกิดกรรมมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยมีรากเหง้ามาจากความจงใจ ที่สำเร็จแล้ว กรรมมี 4 ประเภท คือ กรรมดำ กรรมขาว กรรมทั้งดำทั้งขาว กรรมทั้งไม่ดำทั้งไม่ขาว และกรรมอีก 3 ประเภท คือ แบ่งตามคุณภาพ แบ่งตามทวาร และแบ่งตามสภาพ
เกณฑ์วินิจฉัยการกระทำทางพุทธศาสนา ได้แก่ 1) เกณฑ์วินิจฉัยหลักเป็นเกณฑ์ที่กล่าวถึงเจตนาในการกระทำของมนุษย์ ซึ่งขับเคลื่อนให้ทำดีทำชั่ว 2) เกณฑ์วินิจฉัยร่วม คือ มโนธรรมและมติของท่านผู้รู้ เกณฑ์วินิจฉัยการกระทำทางปรัชญา ได้แก่ สัมพัทธนิยม สัมบูรณนิยม ประโยชน์นิยม และทัศนะของอิมมานูเอล ค้านต์
วิเคราะห์กรณีตัวอย่างการกระทำตามเกณฑ์วินิจฉัยทางพุทธและปรัชญาพบว่า กรณีชายไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทางเพศของแต่ละบุคคล โสเภณีถือว่าเป็นภรรยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่าภรรยาชั่วคราว (มุหุตฺติกา) และกรณีหญิงขายรังไข่มีสาเหตุมาจากหญิงมีบุตรยาก สัตว์ (มนุษย์) มีอัธยาศัยต่างกัน บางคนเป็นปุถุชน เป็นมิจฉาทิฏฐิ ธรรม 2 ข้อนี้เป็นเหตุปัจจัยให้กระทำสิ่งต่างๆ ตามความต้องการของตน
Article Details
เอกสารอ้างอิง
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2526). พระพุทธศาสนากับสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร: เจริญวิทย์การพิมพ์.
วิทย์ วิศทเวทย์. (2553). ปรัชญาทรรศน์ : พุทธปรัชญา. กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษณศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิจิตร เกิดพิสิษฐ์. (2531). ปรัชญาครูหกในสมัยพุทธกาล. กรุงเทพมหานคร: พรศิวการพิมพ์.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2540). พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน.