ผลของการใช้วิธีการเรียนรู้แบบรวมพลังที่มีต่อความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจวรรณคดีและความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
คำสำคัญ:
วิธีการเรียนรู้แบบรวมพลัง, ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ, ความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจวรรณคดีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบรวมพลัง และ (2) เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนหลังจากเรียนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบรวมพลัง ประชากรกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 22 คน ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลทั้งก่อนและหลังการทดลอง (The One-Group Pretest-Posttest Design) เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบวัดความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้คำศัพท์เป็นแบบปรนัย ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวนฉบับละ 30 ข้อ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบรวมพลัง จำนวน 16 แผน แผนละ 1 คาบ คาบละ 60 นาที ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล จำนวน 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ รวมทั้งสิ้น 16 คาบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่ามัธยฐานและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่านัยสำคัญของความแตกต่างโดยใช้สถิติทดสอบ Wilcoxon signed-rank test ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบรวมพลังมีคะแนนจากค่ามัธยฐานของความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์โดยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้คำศัพท์ภายหลังการทดลองครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งพบว่า ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
เอกสารอ้างอิง
สำนักทดสอบทางการศึกษา. (2566). รายงานผลการประเมินระดับชาติ (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565. สืบค้นจาก https://www.becta.go.th.
สุนิศา สุริยะโชติ. (2563). การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบรวมพลัง ร่วมกับเทคนิค KWDL เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ และทักษะการรวมพลัง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. (ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี).
สุพัชยา สงพิทักษ์. (2564). ผลของการสอนแบบเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะออนไลน์ต่อความสามารถในการสื่อสารด้วยวาจาเป็นภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ. (ครุศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย).
Awang-Hashim, R., Yusof, N., Benlahcene, A., Kaur, A., & Shanmugam, S. K. S. (2023). Collaborative Learning in Tertiary Education Classrooms: What does it entail?. Malaysian Journal of Learning and Instruction, 20(2), 205-232.
Baker, M. J. (2015). Collaboration in collaborative learning. Interaction studies, 16(3), 451-473.
Bulu, S. T., & Yildirim, Z. (2008). Communication behaviors and trust in collaborative online teams. Educational Technology & Society, 11(1), 132–147.
Cohen, L., Manion, L., & Morrison, K. (2018). Research methods in education. (8th ed.). Oxfordshire: Routledge.
Creswell, J. W. & Guetterman, T. C. (2019). Educational Research: Planning, Conducting, and Evaluating Quantitative and Qualitative Research. (6th ed.). London: Pearson Education.
Denscombe, M. (2017). EBOOK: The good research guide: For small-scale social research projects. London: McGraw-Hill Education (UK).
Goodman, K. S. (1996). The reading process and its application in education. In M. L. Kamil, P. B. Mosenthal, P. D. Pearson, & R. Barr (Eds.), Handbook of reading research (Vol. 2, pp. 45-57). London: Longman.
Gunning, T. G. (2024). Creating literacy instruction for all students. (11th ed.). London: Pearson Education.
Huang, J. H. (2023). The effectiveness of collaborative learning on developing communicative strategies in English for specific purpose tour guide language training course at tertiary level. International Journal of Educational Methodology, 9(4), 619–630.
Johnson, D. W., & Johnson, R. T. (2009). An educational psychology success story: Social interdependence theory and cooperative learning. Educational researcher, 38(5), 365-379.
Karel, K., Paul, A. K., Wim, J., & Hans, V. B. (2005). Measuring perceived sociability of computer-supported collaborative learning environments. Computers & Education, 49(2), 176–192.
Marlina, R., Suwono, H., Ibrohim, I., Yuenyong, C., Husamah, H., & Hamdani, H. (2024). Theoretical frameworks of self-efficacy in collaborative science learning practices: A systematic literature review. Jurnal Pendidikan Biologi Indonesia, 10(2), 602–615.
Salkind, N. J. (2017). Tests & measurement for people who (think they) hate tests & measurement. Washington DC: Sage Publications.
Sukdee, B., (2024). Collaborative learning management with language game to develop 12th grade students’ English vocabulary learning and reading competency. Shanlax International Journal of Education, 13(1), 70–78.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.