การพัฒนาความสามารถด้านการแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้การแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 2) หาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้เรื่องการแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เปรียบเทียบความสามารถด้านการแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบนิรนัย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ระหว่างก่อนและหลังเรียน และ 4)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ที่มีต่อการเรียนรู้การแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมิตรภาพ อำเภอแกดำจังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 สังกัดส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 26 จำนวน 20 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้การแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย จำนวน 4 แผน 16 ชั่วโมงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือกจำนวน 15 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20-0.94 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.93แบบประเมินความพึงพอใจ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วย t-test ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้1. แผนการจัดการเรียนรู้การแต่งกาพย์ยานี 11 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์เท่ากับ 80.68/82.16
2. ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้การแต่งกาพย์ยานี 11 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย มีค่าเท่ากับ 0.5685 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 56.85
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้การแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย มีความสามารถด้านการแต่งกาพย์ยานี11 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการแต่งกาพย์ยานี 11 โดยใช้รูปแบบนิรนัย อยู่ในระดับมากที่สุด ( =2.71) จากคะแนน 3 ระดับ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลที่ตีพิมพ์ลงในวารสารมนุษย์กับสังคม ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียนซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารมนุษย์กับสังคม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารมนุษย์กับสังคมก่อน
เอกสารอ้างอิง
กระทรวง ศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมการเกษตรแห่งประเทศไทย.
. (2545). สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ:องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
กาญจนา เกียรติประวัติ. (2524). วิธีสอนทั่วไปและทักษะการสอน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
กิติมา ปรีดีดิลก. (2542). ทฤษฎีบริหารองค์การ. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: ธนะการพิมพ์.
ถนอมทรัพย์ มะลิซ้อน. (2540). ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยอาชีวะสังกัดกรมอาชีวะศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
โฉมเฉลา โมกศรี. (2548). การเปรียบเทียบผลการเรียนเรื่องการบวก การลบ การคูณการหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนแบบนิรนัยโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์และเรียนแบบนิรนัยโดยใช้การสอนปกติ. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
เผชิญ กิจระการ และสมนึก ภัทธิยธนี. (2546). ดัชนีประสิทธิผล(Effectiveness Index :E.I.).วารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 8(กรกฎาคม), 30-36.
ลักขณา สริวัฒน์. (2539). จิตวิทยาเบื้องต้น (จิต.101). กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
เล็กฤทัย รักษาเมือง. (2553). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 เรื่อง การพัฒนาความสามารถด้านการแต่งกลอนสุภาพ ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ LT. การศึกษาค้นคว้าอิสระการศึกษามหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
วิจารณ์ พานิช. (2556). การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: ส. เจริญการพิมพ์.
สุมานิน รุ่งเรืองธรรม. (2526). กลวิธีการสอน. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองธรรม.
สมนึก ภัทธิยธนี. (2537). การวัดผลการศึกษา. มหาสารคาม: ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2553). วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย. มหาสารคาม: ภาควิชาวัดผลและวิจัยการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
อมรรัตน์ พิทักษ์วงศ์ศร. (2551). การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ เรื่องการแต่งบทร้อยกรองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างการจัดกิจกรรมแบบอุปนัยและนิรนัย. วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
อารีรัตน์ ประโยชน์มี. (2551). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์วิชาภาษาไทย เรื่องชนิดของคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีสอนแบบนิรนัยและอุปนัย. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
Eggen, Paul D. (1979). Strategise for Teacher, Information Processing Model in the
chassroom Englewood classroom. Englewood Cliffs N.J.: prenticeHall, Inc.