ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

Main Article Content

rattipol seehawong
สุภาณี เส็งศรี
ธงชัย เส็งศรี
วราพร อนันตวงศ์
นิธิเดชน์ เชิดพุทธ

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรร 2) เพื่อศึกษานวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  โรงเรียนจ่านกร้อง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม                     2. แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ 3. แบบประเมินนวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียน  สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทีชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน  (t-test)


               ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลศึกษานวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยรวมอยู่ในระดับที่ดี

Article Details

บท
บทความวิจัย

References

กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้

วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง

พ.ศ. 2560). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด, หน้า 1-2.

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2564 - 2570). (2565). ราชกิจจานุเบกษา.

เล่ม 139 ตอนพิเศษ 258, หน้า 22-24.

Yakman, G. G. (2008). STEAM Education: An overview of creating a model of

integrative education. https://www.academia.edu/8113795/STEAM_Education_an_overview_of_

creating_a_model_of_integrative_education

Tongchai, A. (2016). The importance of engineering in science learning management

In the 21st century. Kasetsart Educational Review,31(3), 48-53. [in Thai]

The institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST). (2014).

Basic knowledge of STEM Education. Bangkok: The institute for the Promotion of

Teaching Science and Technology. [in Thai]

สุธิดา การีมี. (2560). การใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์

และทักษะการแก้ปัญหา (The use of Engineering Design Process to enhance

creativity and problem solving skills.). สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.

https://oho.ipst.ac.th/edp-creative-problem-solving1/

มาเรียม นิลพัน .(2558). วิธีวิจัยทางการศึกษา. นครปฐม: ศูนย์วิจัยและพัฒนาทางการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.

ฐิฏิภัทร์ เดชพิพัฒน์วรกุล, กฤษณา คิดดี, และ ศิริรัตน์ เพ็ชร์แสงศรี. (2563). ผลการจัดการเรียนรู้

โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐานด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ที่มีต่อความสามารถ

ในการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย

นเรศวร. 25(1), หน้า 126.

สมรัก อินทวิมลศรี. (2560). ผลของการใช้แนวคิดสะตีมศึกษาในวิชาชีววิทยาที่มีต่อความคิด

สร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์และผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกัเรียนชนั้มธัยมศกึษาปีที่4.

วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตร์บัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. หน้า 89.

Wandari G.A., Wijaya A.F.C. and Agustin R.R. (2018). The effect of STEAM-based

learning on students’ concept mastery and creativity in learning light and

optics. Journal of Science Learning, 2(1). 26-32.

Thuneberg H.M.,Salmi H.S. and Bogner F.X. (2018). How creativity, autonomy and

visual reasoning contribute to cognitive learning in a STEAM hands-on inquiry-

based math module. Thinking Skills and Creativity, 29. 153-160.

รัฐพงษ์ โพธิรังสิยากร. (2561). ผลการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับ

แนวคิดสะตีมศึกษา ที่มีต่อวามคิดสร้างสรรค์และผลสัฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5.

บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพมหานคร. หน้า 77-83.

พงศกร พรมทา. (2561). การพัฒนากิจกรรมสะตีมศึกษา เรื่อง พันธะเคมี: ผ้าฝ้ายกันน้ำเพื่อส่งเสริม

ทักษะความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย. ปริญญา

นิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

ถนอมขวัญ วิบูลย์ธนสาร. (2561). การพัฒนาชุดกิจกรรมตามแนวสะตีมศึกษา เรื่อง พันธะเคมี

เพื่อส่งเสริมทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย.

ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

ปรัชญา ซื่อสัตย์. (2563). การพัฒนาชุดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด

STEAM ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรและผลงานสร้างสรรค์หุ่น

กระบอก สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย

ศิลปากร.

วันชัย น้อยวงค์ และภิญโญ วงษ์ทอง. (2563). วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา. 3(2),

หน้า 187.

เอกพร ธรรมยศ. (2564). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องการ

แยกสาร โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะตีมศึกษาร่วมกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง. ปริญญา

นิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.

Taylor, C. (1964). Creativity : Progress and Potential. New York: McGraw-Hill.

ปัทมา ศรีมณี. (2562). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมระดับบุคคล :

กรณีศึกษา พนักงานสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตหาดใหญ่).

สารนิพนธ์, หาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

เอกสิทธิ์ ชนินทรภูมิ. (2565). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิด STEAM เพื่อส่งเสริม

ทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี. วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏ

สวนสุนันทา, 13(1), หน้า 246-265.

ลักขณา สริวัฒน .(2557). จิตวิทยาสำหรับครู. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์.

ณัชชากัญญ์ วิรัตนชัยวร .(2561). ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน. http://www.learners.in.th/blogs/posts/386486.

วิชาญ เพ็ชรทอง. (2559). รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนากระบวนการสร้างชิ้นงาน เพื่อประเมิน

พัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอน ตามแนวทฤษฎีการสร้างสรรค์

ความรู้ผ่านชิ้นงาน รายวิชา การวัดและ การควบคุมทางอุตสาหกรรม. สงขลา : มหาวิทยาลัย

ราชภัฏสงขลา. หน้า 22

สยุมพร ศรีมุงคุณ. (2561). ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้. https://www.gotoknow.org/posts/341272