การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรม สำหรับการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดกาญจนบุรี
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรม 2) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เชิงพหุวัฒนธรรม 3) ประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรม สำหรับการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดกาญจนบุรี มีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สมัครใจเข้าฝึกอบรม จำนวน 100 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถามความต้องการในการฝึกอบรม 2) หลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรม 3) แบบประเมินหลักสูตรฝึกอบรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการเปรียบเทียบผลที่เกิดจากการฝึกอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรม ค่าระดับความเห็นของผู้เข้าอบรมที่มีต่อหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรม โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มเป้าหมายมีความต้องการในการฝึกอบรม ประกอบด้วย หลักสูตรที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นตามความเหมาะสมกับบริบทพื้นที่ และตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ (1) English for Tour Guide (2) English for Service Workers (3) English for Boats and Raft Operation (4) English for Thai Massage และ 5) English for Driver ความต้องการด้านเนื้อหา ได้แก่ (1) การทักทาย แนะนำตัว และผู้อื่น การกล่าวต้อนรับและอำลา (2) การพูดเรื่องอาหาร การบอกทิศทาง/เส้นทาง (3) การแนะนำกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยว (4) การแสดงไมตรีจิต ให้การช่วยเหลือการแนะนำ เชิญให้ซื้อสินค้า (5) การขอบคุณ ขอโทษ การพูดโทรศัพท์ (6) การพูดเรื่องวันเวลา และ (7) การรักษาปฐมพยาบาล 2) ผลการประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมฯ จากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมากที่สุด แสดงว่าหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม สามารถนำไปใช้ได้ เมื่อเปรียบเทียบคะแนนทดสอบก่อนการฝึกอบรมและหลังการฝึกอบรมทั้ง 5 หลักสูตร และในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยคะแนนหลังการฝึกอบรมสูงกว่าคะแนนก่อนการฝึกอบรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดกาญจนบุรีทั้ง 5 หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นนี้มีประสิทธิภาพช่วยพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนได้ทุกหลักสูตร ส่วนผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เข้าฝึกอบรมอยู่ในระดับมากที่สุด
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
- บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร มจร พุทธศาสตร์ปริทรรศน์
- ข้อความใดๆ ที่ปรากฎในบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และข้อคิดเห็นนั้นไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสาร มจร พุทธศาสตร์ปริทรรศน์
เอกสารอ้างอิง
กองทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง. (2566). ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81. สืบค้น 2 ธันวาคม 2566 จาก https://www.motorway.go.th/
จุฑามาส เพ็งโคนา และคณะ. (2560). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับการท่องเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดชุมพร. วารสารวิจัยเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่. 9(1), 38-51.
ดรุณี โยธิมาศ. (2558). ศึกษาและพัฒนานวัตกรรมการสื่อสาร ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวสำหรับบุคลากร ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ปราสาทเมืองต่ำ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์. บุรีรัมย์: มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์.
ปวันรัตน์ นิกรกิตติโกศล. (2559). การพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ประกอบการร้านขาย ของที่ระลึก ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี. วารสารสมาคมนักวิจัย. 21(2), 110-122.
ผะอบ พวงน้อย และคณะ. (2545). การวิจัยและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเทคนิคเพื่อการสื่อสารในงานอาชีพ. กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี. (2566). แผนยุทธศาสตร์จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2561–2564. สืบค้น 2 สิงหาคม 2566 จาก https://province.mots.go.th/ewtadmin/ewt/Kanchanaburi/more_news.php?page=13&cid=60
สำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี. (2560). ทุนทางสังคมด้านคติความเชื่อ. สืบค้น 20 สิงหาคม 2560 จาก https://ww2.kanchanaburi.go.th/frontpage
Bartow, FL. (1991). Workforce Education: hotel and motel workers a section 35 demonstration project. Retrieved 3 July 2004 from www.elsevier.com/ locate/esp.
Brown, T & Lewis, M. (2003). The ESP project: analysis of an authentic workplace conversatio. English for Specific Purposes. 22(1), 93-98.