ทฤษฎีเกมในรูปแบบความขัดแย้งในสังคมไทย
Main Article Content
Abstract
การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ในปัจจุบันโดยเฉพาะวิชา การเมืองและการปกครองเปรียบเทียบโดยเน้นการวิเคราะห์การปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยมีความสาคัญอย่างมากในการทาความเข้าใจถึงปัญหาที่นามาสู่ความแตกต่างในด้านการออกแบบนโยบายต่างๆรวมถึงการพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในกลุ่มประเทศต่างๆ Burkhart Ross E.; Michael S. Lewis-Beck (1998), Anne O. Krueger Root, Hilton L. (1994) และ Mesquita De Bueno Bruce (2000) ได้อธิบายระบบสถาบันทางการเมืองและระบบวัฒนธรรมการเมืองโดยทั่วไปที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของระบบพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ การเลือกตั้ง และ ผลลัพธ์ของรูปแบบนโยบาย รวมถึง แนวคิดการบริหารประเทศในรูปแบบของระบบสถาบันภายใต้ระบอบประชาธิปไตย โดย Arend Lijphart (1999) ได้มุ่งเน้นที่จะศึกษาการดาเนินการนโยบายต่างๆที่สาคัญใน 36 ประเทศโดย การเปรียบเทียบระบบพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ และ การเลือกตั้ง ภายใต้เงื่อนไข Westminster Model และ Consensus model ในการศึกษาการพัฒนาความสัมพันธ์ของFormal Institutions และ Informal Institutions ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้จะนาไปสู่ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และความแตกต่างของนโยบายต่างๆ นอกจากนั้นการวิจัย ของ Pier Carlo P (1997), North Douglass C., Barry R. Weingast (1989), และ Jess Benhabib and Adam Przeworski (2006) บ่งชี้ถึงความสาคัญของระบบพรรคการเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันแบบทางการ(Formal Institutions)และมีความสัมพันธ์กับ วัฒนธรรม เชื้อชาติ และ ศาสนา หรือ สถาบันแบบไม่ทางการ(Informal Institutions) ได้อย่างเด่นชัด เนื่องมาจาก ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ถึงการขับเคลื่อนของระบบสถาบันโดยรวม (Institutions) ในการการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยผ่านกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเจรจาในรูปแบบการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด (Bargaining on Transaction Costs)โดยเฉพาะมุมมองของกลุ่มประเทศกาลังพัฒนาและด้อยพัฒนา เนื่องมาจากการขับเคลื่อนการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นสัญญาณในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน (Long-Term Economic Growth by Democratic Transition) เช่น ปัจจัยของระบบการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองที่เอื้ออานวยให้กับพรรคการเมืองในการดาเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบราชการแต่ในทางตรงกันข้ามความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอาจนามาสู่ความถดถอยในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เช่น ปัญหาความขัดแย้งในทางการเมือง และ สังคม ที่เริ่มก่อตัวจากความบกพร่องของระบบพรรคการเมือง หรือ นโยบายต่างๆที่เอื้อผลประโยชน์ และในที่สุดทาให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและกับความเชื่อมั่นในการลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะผลจากการรัฐประหารที่ผ่านมาหลายครั้งในประเทศไทย
ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวนี้มีความเชื่อมโยงกันของปัจจัยในระบบสถาบันโดยรวม เช่น ความขัดแย้งพื้นฐานของกฎกติกาทางการเมืองที่เกิดจากความเชื่อมโยงกันระหว่างการขาดกฎหมายที่เข้มงวด และการแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายของพรรคการเมือง ซึ่งความขัดแย้งขั้นพื้นฐานในด้านกฎกติกาทางการเมืองเหล่านี้นามาสู่การขาดประสิทธิภาพ (Pareto Inefficiency) ในการใช้นโยบายทางด้านจุลภาคและ มหภาคต่างๆ ที่จะใช้ในการขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผลกระทบของความขัดแย้งนี้ ได้สะท้อนถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ หรือ ระบอบประชาธิปไตยแบบไม่เต็มใบ อย่างชัดเจน โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นแค่สัญลักษณ์ในรูปแบบ Consensus เท่านั้นและไม่ได้บ่งชี้ถึงความเป็นประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์
ดังนั้นบทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นการศึกษาจากทฤษฎีเกมในทางเศรษฐศาสตร์ และ รัฐศาสตร์ เพื่อที่จะหากรอบแนวคิด เงื่อนไข และความสัมพันธ์ของความขัดแย้งพื้นฐานที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์เชิงลึกของระบบพรรคการเมือง หรือ Formal Institution และระบบอุปถัมภ์ หรือ Informal Institution เช่น ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดระหว่างผู้ที่สนับสนุนระบอบทักษิณ และกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณโดยระบอบทักษิณก่อให้เกิดการเอื้อผลประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง ดังนั้น ถ้าจะแก้ที่ปัญหาทางการเมืองทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งอาจไม่ ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ง่ายในระยะสั้น เนื่องมาจากพฤติกรรมของพรรคการเมือง ข้าราชการประจา องค์กรอิสระ และ อาจรวมถึง ตุลาการ มีความเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์กับ ทางด้านวัฒนธรรม ที่มีมานาน การหาวิธีการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติเป็นประเด็นที่ควรนามาพิจารณา เนื่องมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่สามารถใช้แนวทางแก้ปัญหาโดยใช้ทฤษฎีโดยตรง แต่ต้องเอาแนวคิดทางทฤษฎีที่เกิดขึ้นใหม่มาคิดอย่างรอบคอบ หรือต้องคิดแนวทางใหม่ๆ ดังนั้นจึงมีความสาคัญอย่างยิ่งที่ต้องสร้างกฎกติกาที่เหมาะสมโดยสร้างกฎกติกาภายใต้การปฏิรูปมาตราต่างๆในรัฐธรรมนูญนิยมใหม่ที่มีการควบคุมปัญหาของพฤติกรรมในโครงสร้างทางวัฒนธรรมซึ่งเอื้อประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่ม พรรคการเมือง และ ข้าราชการประจาต่างๆ ที่นาไปสู่สังคมของการคอรัปชั่นเชิงนโยบายในรูปแบบที่ซับซ้อน (Rent-seeking Behaviors) อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น การปฎิรูปรูปแบบของโครงสร้างทางวัฒนธรรมในเชิงอุปถัมภ์ ภายใต้สภาวะสินน้าใจที่เกิดขึ้นกับประเทศที่กาลังพัฒนาและด้อยพัฒนา โดยมีกรอบการคิดและนโยบายแบบที่มีเงื่อนไขอย่างถูกต้องและชัดเจน โดยบทความนี้ไม่มีจุดประสงค์ในการหาวิธีที่จะแก้ปัญหาในสังคมไทยแต่มีจุดประสงค์ที่จะเน้นการใช้กรอบและแนวทางทฤษฎีสมัยใหม่ในการวิเคราะห์ความขัดแย้งในรูปแบบของสมการและสร้างปัจจัยในการอธิบายความล้มเหลวของการเจรจาและข้อตกลงที่เกิดขึ้นโดย บทความแบ่งการอธิบายและการวิเคราะห์ดังนี้
1) การอธิบายต้นเหตุปัญหาความขัดแย้งและกรอบการคิดทฤษฎีความพึงพอใจ
2) การวิเคราะห์ปัจจัยหรือตัวแปรที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งพื้นฐานของกฎกติกาทางการเมืองในรูปแบสมการ และ
3) ความเข้าใจกรอบการคิดทฤษฎีเกมภายใต้ความขัดแย้งพื้นฐานในสังคมไทย
Article Details
@ 2020 King Prajadhipok's Institute The Government Complex Commemorating All Right Reserved.
References
Anne O. Krueger,”Why Trade Liberalization is good for Growth”, The Economic Journal, Vol. 108, No. 450. (Sep., 1998), pp. 1513-1522.
Arend Lijphart, Patterns of Democracy: Government Forms and Performance in Thirty-six Countries. New Haven: Yale University Press, 1999.
Burkhart Ross E.; Michael S. Lewis-Beck, Comparative Democracy: The Economic Development Thesis, The American Political Science Review, Vol. 88, No. 4, (Dec., 1994), pp. 903-910.
Burton A. Abrams and Kenneth A. Lewis, “A Median-Voter Model of Economic Regulation”, Public Choice, Vol. 52, No. 2 (1987), pp. 125-142.
James D. Morrow (1994) Game Theory for Political Scientists, Princeton University Press, pp. 1-365.
Jess Benhabib and Adam Przeworski, “The Political Economy of Redistribution under Democracy”, Economic Theory, Vol. 29, No. 2, Symposium in Honor of Mukul Majumdar (Oct., 2006), pp. 271-290.
North, Douglass C. and Barry R. Weingast, " Constitutions and Commitments: The Evolution of Institutions Governing Public Choice in Seventeenth-Century England ," The Journal of Economic History, 49:4 (December 1989) pp. 803-832.
Pier Carlo P., (1997), Regional Agreement as club: The European Case, The Political Economy of Regionalism, Columbia University Press, New York, pp. 107- 133.
Root, Hilton L., Mesquita De Bueno Bruce (2000), Governing for Prosperity: When Bad Economics is Good Politics, Yale University Press/ New Haven and London, pp. 1-16.