การศึกษาบทบาทของภาคประชาสังคมในการเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและ การพัฒนาประชาธิปไตย กรณีองค์กรด้านการต่อต้านการทุจริตและส่งเสริมสังคมธรรมาภิบาล

Main Article Content

เลิศพร อุดมพงษ์

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดบทเรียนและนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาบทบาทและการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและการพัฒนาประชาธิปไตยขององค์กรด้านการต่อต้านการทุจริตและส่งเสริมสังคมธรรมาภิบาล องค์กรกรณีศึกษาครั้งนี้ ใช้การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งมีเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ เป็นองค์กรที่มีภารกิจด้านการต่อต้านการทุจริตและส่งเสริมสังคมธรรมาภิบาลที่เป็นทางการไม่น้อยกว่า 10 ปี จำนวน 3 องค์กร ประกอบด้วย มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด, เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เก็บข้อมูลโดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ คือ (1) การสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้นำและผู้เกี่ยวข้องหลักที่ทำงานในองค์กรกรณีศึกษา จำนวน 14 คน และ (2) สนทนากลุ่มผู้ที่เข้าร่วมหรือได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานขององค์กรกรณีศึกษา จำนวน 17 คน และ (3) การศึกษาเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการตีความเชิงพรรณนาข้อมูล การวิเคราะห์เนื้อหา และ การสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย


            สรุปผลการศึกษา พบว่า (1) ในขั้นเริ่มก่อตัว ทุกองค์กรมีจุดเริ่มที่คล้ายคลึงกัน คือ การเล็งเห็นถึงปัญหาและพิษภัยของการคอร์รัปชัน จึงมีเจตจำนงที่ต้องการลุกขึ้นมาร่วมกันทำการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม และ ได้รับความร่วมมือในการผนึกกำลังก่อรูปเป็นองค์กรที่เป็นเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็ง ในขั้นการดำรงอยู่ ทุกองค์กรได้ยึดมั่นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่องค์กรตนเองกำหนดไว้อย่างชัดเจน พยายามทำงานอยู่บนภารกิจที่สอดคล้องตามเป้าหมายองค์กร และพยายามดูแลรักษามาตรฐานขององค์กร โดยขับเคลื่อนการทำงานตามทรัพยากรที่มีเพื่อคงไว้ซึ่งความต่อเนื่อง และในขั้นเข้าสู่ความยั่งยืน ซึ่งมีปัจจัยที่เป็นจุดแข็งร่วมกัน คือ การรักษาบทบาทและความเป็นกลางขององค์กรมิให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง, คุณภาพในการคัดเลือกบุคคลมาเป็นผู้นำและคณะกรรมการขององค์กร, การรักษาความโปร่งใสในการทำงานขององค์กรเพื่อเป็นแบบอย่าง และ การทำงานเพื่อขยายเครือข่ายการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสำคัญ คือ การที่ประชาชนทั่วไปยังไม่ตระหนักเพียงพอและยังไม่เข้าใจว่า การทุจริตคอร์รัปชันสาธารณสมบัติ เท่ากับการที่แต่ละคนได้รับผลกระทบด้วยโดยตรง จึงทำให้ละเลยและให้ความสำคัญในการเข้ามามีส่วนร่วม และ การมีทรัพยากรที่จำกัด โดยเฉพาะด้านบุคลากรที่มีความพร้อมในการเข้ามาร่วมทำงาน มีเจตจำนงแน่วแน่ พร้อมที่จะเสียสละ และทุ่มเทในการดำเนินงานเพื่อต่อต้านการทุจริต (2) ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาบทบาทและการดำเนินงานที่เหมาะสม ได้แก่ การทำงานจะต้องกำหนดเป็นเจตจำนงสำคัญร่วมกันว่า ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายการเมือง, จำเป็นต้องอาศัยการมีนโยบายของรัฐบาลที่มีความชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อเป็นกลไกสนับสนุน, ควรมีการออกใบรับรองสถานะการเป็นเครือข่ายให้แก่องค์กรด้านการต่อต้านการทุจริตและส่งเสริมสังคมธรรมาภิบาลโดยหน่วยงานรัฐ, ควรต้องมีรูปแบบการสนับสนุนงบประมาณที่เป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง และ ควรมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
อุดมพงษ์ เ. (2023). การศึกษาบทบาทของภาคประชาสังคมในการเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและ การพัฒนาประชาธิปไตย: กรณีองค์กรด้านการต่อต้านการทุจริตและส่งเสริมสังคมธรรมาภิบาล. วารสารสถาบันพระปกเกล้า, 21(1), 128–149. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/kpi_journal/article/view/259517
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

ภาษาไทย

กฤษฎา บุญชัย, วีรบูรณ์ วิสารทสกุล และจตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร. (2556). รายงานการศึกษา บทบาทของภาคประชาสังคมในการคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง. กรุงเทพฯ:สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ.

เกศินี ประทุมสุวรรณ และพีรพัฒน์ พันศิริ. (2563). การขับเคลื่อนประเด็นสุขภาวะระดับพื้นที่: บทเรียนจาก Node สสส. นครปฐม. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, 28(2), 136-163.

ขจรศักดิ์ บัวระพันธ์. (2554). วิจัยเชิงคุณภาพไม่ยากอย่างที่คิด. นครปฐม: สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล.

คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. (2560). รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม, ถวิลวดี บุรีกุล, ถวัลย์รัฐ วรเทพพุฒิพงษ์, พัชรี สิโรรส, พิสิฐ ศุกรียพงศ์, และ โสภารัตน์ จารุสมบัติ. (2545). แนวทางการเสริมสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมตามรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.

เครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชัน. (2544). ฟื้นศักดิ์ศรีคนไทย ร่วมต้านภัยคอรัปชัน. ม.ป.พ.

เดช พุ่มคชา. (2542). บทบาทและอนาคตขององค์กรพัฒนาเอกชนไทย. ใน ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ(บรรณาธิการ), เอ็นจีโอ 2000 (59-76). กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน. (2556). ประชาสังคม: นิยาม ความหมาย และลักษณะของความเป็นประชา สังคม. สืบค้นจาก http://nattawatt.blogspot.com/2013/10/blog-post_3674.html

ถวิลวดี บุรีกุล. (2552). ประมวลสาระชุดวิชา ประชาสังคมและชุมชนท้องถิ่น หน่วยที่ 1-5. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

ถวิลวดี บุรีกุล, พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ และสติธร ธนานิธิโชติ. (2555). เพิ่มพลังพลเมือง เพื่อขับเคลื่อน ประเทศไทย. กรุงเทพฯ: เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์.

ไพรัตน์ ฉิมหาด, บัญญัติ แพรกปาน และสามิตร อ่อนคง. (2563). การเมืองภาคพลเมืองกับการมี ส่วนร่วมทางการเมืองในสังคมไทย. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 7(5), 46-61.

บงกช สุทัศน์ ณ อยุธยา. (2557). การสร้างจิตสำนึกของความเป็นไทย ค่านิยม เพื่อการต่อต้าน ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์), 6(11), 248-264.

รัตนะ บัวสนธ์. (2556). วิจัยเชิงคุณภาพทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด. (2565). สรุปผลการดำเนินงานและงบประมาณค่าใช้จ่าย มูลนิธิประเทศไทยใส สะอาดปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564). สืบค้นจาก https://drive.google.com/file/d/1lxKafWsdAyk7txoBN5-XxrtGOkl1S9t1/

view

สถาบันพระปกเกล้า. (2545). การกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่นในประเทศไทย.กรุงเทพฯ: ธรรมดาเพรส.

สุภางค์ จันทวานิช. (2542). วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

องค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย). (2565). ยุทธศาสตร์ 3 ป. สืบค้นจาก http://www.anticorruption.in.th/2016/th/ourjob.php#ourjob2_section

ภาษาอังกฤษ

Bernhard, M., Tzelgov, E., Jung, D.-J., Coppedge, M., & Lindberg, S. I. (2015). The Varieties of Democracy Core Civil Society Index. Gothenburg: The Varieties of Democracy Institute.

Diamond, L. (1994). Rethinking Civil Society: Towards Democratic Consolidation. Journal of Democracy, 5(3), 4-17.

Jensen, M. (2006). Concepts and Conceptions of Civil Society. Journal of Civil

Society, 2(1), 43.