การพัฒนา การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบกัลยาณมิตรเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้ เชิงรุกวิชาภาษาไทยของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศแบบกัลยาณมิตรเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกวิชาภาษาไทยของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ประชากรในการวิจัยเป็นครูผู้สอนวิชาภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 จำนวน 198 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้สอนวิชาภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในอำเภอไพรบึง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 จำนวน 35 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการนิเทศแบบกัลยาณมิตร แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจเรื่องการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน () ค่าสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ t-test (for dependent) การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 ผลการพัฒนารูปแบบ ขั้นตอนที่ 3 การนำรูปแบบไปใช้ ขั้นตอนที่ 4 การปรับปรุงรูปแบบ
ผลการวิจัยพบว่า
- รูปแบบการนิเทศแบบกัลยาณมิตรเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกวิชาภาษาไทย ของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ที่พัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบ 6 ประการ คือ 1) หลักการ (Strategies) 2) วัตถุประสงค์ (Objective) 3) เนื้อหา (Content) 4) กระบวนการนิเทศ (Innovation) 5) การวัดและประเมินผล (Assessment) 6) ผลลัพธ์ (Learning Outcome) ใช้ชื่อว่า SOCIAL Model
- การศึกษาผลการใช้รูปแบบพบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูจากการสังเกต 3 ระยะ มีแนวโน้มสูงขึ้น ครูมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.53) ผลการวิเคราะห์เนื้อหาจากการบันทึกการสังเกต และจากการสอบถามความพึงพอใจ พบว่า ครูมีความกระตือรือร้นในการจัดการเรียนรู้
แม้จะไม่ใช่ครูที่มีวุฒิทางการสอนภาษาไทย ครูมีความพึงพอใจในกระบวนการพัฒนา เนื่องจาก ผู้นิเทศใส่ใจ เข้าใจ ครู ผู้บริหารและสถานศึกษาเป็นอย่างดี ครูได้รับความสะดวกในการใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ที่ผู้วิจัยจัดทำไว้ ครูเกิดการเรียนรู้และสามารถสร้างสื่อออนไลน์ได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้การดำเนินการได้ผลดี ทำให้ครูในระดับชั้นอื่นๆ มีการดำเนินการในรูปแบบนี้เช่นเดียวกัน นักเรียนส่วนใหญ่จึงมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น จากผลลัพธ์ของรูปแบบพบว่าครูมีความมั่นใจและสามารถสร้างผลงานดีเด่นที่เป็นแบบอย่างได้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น โรงเรียนมีแนวปฏิบัติในด้านการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานักเรียน