ความเต็มใจจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าร่วมงานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาว จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประจำปี 2565

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความเต็มใจจ่ายและปัจจัยที่มีผลต่อความเต็มใจจะจ่าย และวัดระดับความพึงพอใจของผู้มาร่วมงานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่าและแข่งเรือยาว ประจำปี 2565 จังหวัด สุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ คนที่เดินทางมาร่วมงานประเพณีชักพระ ปี 2565 มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ด้วยเทคนิคการสมมติเหตุการณ์ (CVM: Contingent Valuation Method) และแบบจำลองโลจิต (Logit Model) ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21–30 ปี เป็นคนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัท รายได้เฉลี่ยไม่เกิน 10,000 บาท เข้าร่วมงานมากกว่า 1 ครั้ง สิ่งดึงดูดใจ ได้แก่ กิจกรรมชักพระ ประเพณีทอดผ้าป่า กิจกรรมแข่งเรือยาว และกิจกรรมทำบุญ ความเต็มใจจ่ายของผู้เข้าร่วมงานประเพณีชักพระ ปี 2565 เฉลี่ย 41.0626 บาทต่อคน ปัจจัยที่มีผลต่อค่าความเต็มใจจ่ายค่าธรรมเนียม และมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับค่าความเต็มใจจะจ่าย ได้แก่ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และค่าใช้จ่ายในการเข้าชมงานประเพณีชักพระ ส่วนอาชีพมีผลต่อค่าความเต็มใจจ่ายค่าธรรมเนียมในทิศทางตรงกันข้ามอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความพึงพอใจในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3 ด้าน ได้แก่ เรือพนมพระ ขบวนแห่เรือพนมพระ และการตั้งพุ่มผ้าป่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน ได้แก่ มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโควิด 19 พิธีฉลองถ้วยพระราชทานและการแข่งเรือยาว