การศึกษาฤทธิ์การยับยั้งเชื้อราของสารสกัดทับทิม

Main Article Content

จีระภา ดำรงโภคภัณฑ์

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์การยับยั้งเชื้อราของสารสกัดทับทิม ในกลุ่ม dermatophytesและเพื่อทดสอบหาประสิทธิภาพของสารสกัดทับทิม ในการยับยั้งเชื้อรากลุ่ม dermatophyte โดยเปรียบเทียบขนาดของ inhibition zone ของเชื้อราทดสอบกับสารสกัดทับทิมกับเชื้อรากลุ่ม Dermatophyte 5 ชนิดโดยใช้วิธี agar well diffusion และเปรียบเทียบผลที่ได้กับยา clotrimazole โดยใช้สารสกัดทับทิมซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสารสกัดมีประโยชน์ โดยทับทิมสามารถต้านการอักเสบและอาการแพ้ มีผลลดโปรตีนเกี่ยวกับการอักเสบของเซลล์ เช่น นิวโทรฟิล มาโครฟาจ และโมโนไซต์ พบว่า สภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นของทางภาคใต้เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เชื้อราเจริญได้ดี ส่งผลให้ประชากรเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราและเชื้อยีสต์ได้ง่าย ยารักษาเชื้อราที่ผิวหนัง ต้องใช้ต่อเนื่อง มีราคาแพง และมีฤทธิ์ข้างเคียง เช่น อาการระคายเคืองผิวหน้า, หน้าลอก แดง, ตุ่มพอง, บวม, คัน และลมพิษ ผู้ป่วยบางส่วนหันมานิยมใช้ยาจากธรรมชาติหรือสมุนไพรทดแทนยา คุณประโยชน์ของสารสกัดทับทิมเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาอาการต่างๆ โดยเฉพาะฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อรา ผลการวิจัยพบว่า กลไกการออกฤทธิ์ของสารสกัดทับทิมจากการทดลอง สามารถยับยั้งเชื้อของกลุ่ม dermatophytes อยู่ระหว่าง 31.25-11.72 mg/mL ยับยั้งเชื้อ T. mentagrophytes, M.canis, T.rubrum, E.floccosum. M.gypseum โดยวิธีการทดลองในการใช้ยาต้านเชื้อราจำพวก clotrimazole ที่ความเข้มข้น 100 mg /ml สามารถยับยั้งเชื้อ M.canis, M.gympseum, T. mentagrophytes, T.rubrum, E.floccosum สารสกัดทับทิมมีกลไกการออกฤทธิ์แบบผ่านยีน (genomic pathway) ร่างกายสามารถตอบสนองต่อโปรตีนในลักษณะหรือรูปแบบที่แตกต่างกัน

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ดำรงโภคภัณฑ์ จ. (2023). การศึกษาฤทธิ์การยับยั้งเชื้อราของสารสกัดทับทิม. วารสารสังคมศาสตร์และวัฒนธรรม, 7(11), 273–282. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSC/article/view/269391
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร. (2541). สมุนไพร ไม้พื้นบ้าน เล่ม 1-2. กรุงเทพมหานคร: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.

บาจรีย์ จันทรภาณุกร. (2559). กิณวิทยาคลินิกและไวรัสวิทยาคลินิก. ปทุมธานี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรังสิต.

ปารียา อุดมกุศลศรี, กมลชัย ตรงวานิชนาม, มาลินี ลิ้มโภคา. (2550). ประสิทธิผลของสมุนไพรไทยบางชนิดต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ก่อโรคในปลาในห้องปฏิบัติการ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

พรพรรณ ภูมิรัตน์ และคณะ. (2556). เชื้อราทางการแพทย์. วารสารการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ, 2(1), 31-44.

สุรชัย รัตนสุข. (2557). ความหลากหลายของแพลงก์ตอนในสระแก้วราชภูมิ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด. รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการระดับชาติ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ครั้งที่ 1 (หน้า, 545-549). กำแพงเพชร: มหาวิทยาลัย ราชภัฏกำแพงเพชร.

Abd El Wahab, S. M. (1998). Characterization of certain steroid hormones in Punica granatum L. seeds. Bulletin of Faculty of Pharmacy-Cairo University, 36(1), 11-16.

Chauhan, D. & Chauhan, J. S. (2001). Flavonoid Diglycoside from Punica granatum. Pharmaceutical Biology, 39(2), 155-157.

Comai, K. et al. (1978). Differences between lean and obes Zucker rats : the effect of poorly absorbed dietary lipid on energy intake and body weight again. The Journal of Nutrition, 108(5), 856-35.

Das, P. et al. (2011). Drug utilization pattern and effectiveness analysis in diabetes mellitus at a tertiary care centre in Eastern. Nepal Indian Journal of Physiology and Pharmacology, 55(3), 272-80.

Dean, J. V. et al. (1988). The conversion of nitrite to nitrogen oxide (s) by the constitutive NAD (P) H-nitrate reductase enzyme from soybean. Plant Physiology, 88(2), 389-395.

El-Toumy, S. A. A. & Rauwald, W. H. (2002). Two ellagitannins from Punica granatum heartwood. Phytochemistry, 61(8), 971-974.

Lau, K. K. S. et al. (2003). Superhydrophobic carbon nanotube forests. Nano Letters, 3(12), 1701-1705.