การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่มสืบสอบผ่าน MICROSOFT TEAMS เพื่อเสริมสร้างการรู้วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

Main Article Content

ธนลาวัณย์ เพียรค้า

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่มสืบสอบผ่าน Microsoft Teams และ2) ศึกษาประสิทธิผลของการใช้รูปแบบ โดยเปรียบเทียบการรู้วิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนและหลังเรียน และศึกษาความ        พึงพอใจที่มีต่อรูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 36 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น แบบวัดการรู้วิทยาศาสตร์ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย          ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีหลักการ ดังนี้ 1.1) ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง 1.2) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการกลุ่ม โดยมีกิจกรรมการเรียนการสอน 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อม ขั้นที่ 2 สำรวจสืบค้นผ่าน Microsoft Teams ขั้นที่ 3 ทดลองปฏิบัติ ขั้นที่ 4 เสริมสร้างประสบการณ์ผ่าน Microsoft Teams และขั้นที่ 5 แลกเปลี่ยนแบ่งปัน ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ด้านความสมเหตุสมผลเชิงทฤษฎี มีค่าเฉลี่ยรายข้อทุกข้อ 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.00 ความเป็นไปได้ของรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยรายข้อ 4.33 - 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.00 - 0.58 และค่าความสอดคล้องของรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยรายข้อ 4.67 - 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.00 - 0.58 และ 2) หลังจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้นนักเรียนมีการรู้วิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนร้อยละ 88.15 มีความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
เพียรค้า ธ. (2024). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่มสืบสอบผ่าน MICROSOFT TEAMS เพื่อเสริมสร้างการรู้วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารสังคมศาสตร์และวัฒนธรรม, 8(4), 13–23. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSC/article/view/272724
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กนกพร ฉันทนารุ่งภักดิ์. (2548). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเว็บแบบผสมผสานด้วยการเรียนการสอนแบบร่วมมือในกลุ่มการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย. ใน รายงานการวิจัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ชวนพิศ คณะพัฒน์. (2559). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้วิทยาศาสตร์ (LERRA) ตามแนวคิดการใช้ปัญหานําทางและการวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น. ใน ดุษฎีนิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

ทิศนา แขมมณี. (2557). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์. (2548). สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในบริบทของการเรียนรู้ร่วมกัน. เรียกใช้เมื่อ 22 พฤษภาคม 2563 จาก http://www.ku.ac.th/emagazine/may47/it/ecollaborative.html.

พรสวัสดิ์ สองแคว. (2560). การพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง รู้รักษ์หิน ถิ่นแม่ฮ่องสอน ตามแนวคิด สะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 19(3), 210-224.

รักษ์ศิริ จิตอารี และคณะ. (2560). การพัฒนารูปแบบการสอนตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้ STEM EDUCATION เพื่อเสริมสร้างการรู้วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 19(2), 202-213.

วิจารณ์ พานิช. (2557). การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิสยามกัมมาจล.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2556). ผลการประเมิน PISA 2012 คณิตศาสตร์ การอ่าน และวิทยาศาสตร์ บทสรุปสำหรับผู้บริหาร. กรุงเทพมหานคร: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.

สังวรณ์ งัดกระโทก. (2561). การประเมินวินิฉัยการรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นด้วยโมเดล G-DINA. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 41(4), 37-53.

สุริยาวดี นึกรักษ์. (2559). การพัฒนาการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมและสิ่งแวดล้อม. วารสาร Veridian มหาวิทยาลัยศิลปากร, 9(2), 1322-1333.

Bayer, C. J. & Davis, E. A. (2008). Fostering second graders’ scientific explanations: A beginning elementary teacher’s knowledge, beliefs, and practice. The Journalof the Learning Sciences, 17(3), 381-414.

Bergmann, J. & Sams, A. (2012). Flip your classroom: Reach every student in every class every day (pp. 120-190). Washington DC: International society for technology in education.

Bonk, C. & Graham, C. (2006). Handbook of blended learning: Global perspectives, Local designs. San Francisco: California: Pfeiffer Publishing.

Garrison, R. & Norman, V. (2008). Blended Learning in Higher Education. San Francisco: Jossey-Bass.

Joyce, B. et al. (2009). Models of teaching. New York: Pearson education, Inc.

OECD. (2009). PISA 2009 Assessment Framework: Key competencies in reading, mathematics and science. Paris: OECD.

Reidsema, C. et al. (2017). Introduction to the Flipped Classroom. In C. Reidsema, L. Kavanagh, R. Hadgraft. & N. Smith (Eds.), The Flipped Classroom: Practice and Practices in Higher Education (pp. 3-14). Singapore: Springer Singapore.

Ruiz-Primo, M. A. et al. (2010). Testing one premise of scientific inquiry in science classrooms: Examining students' scientific explanations and student learning. Journal of Research in Science Teaching, 47(5), 583-608.

Singh, H. (2003). Building effective blended learning programs. Educational Technology-Saddle Brook Then Englewood CIFFS NJ, 43(6), 51-54.

Tune, J. D. et al. (2013). Flipped Classroom Model Improves Graduate Student Performance in Cardiovascular, Respiratory, Adrenal Physiology. Indiana. Indiana University School of Medicine. Advances in Physiology Education, 37(4), 316-320.