การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงร่วมกับการเสริมศักยภาพเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงร่วมกับการเสริมศักยภาพเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงร่วมกับการเสริมศักยภาพเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้ตามสภาพจริง แนวคิดการเสริมศักยภาพที่เสริมสร้างความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงร่วมกับการเสริมศักยภาพเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 3) เพื่อทดลองใช้และศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงร่วมกับการเสริมศักยภาพเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ดำเนินการตามกระบวนการวิจัยและพัฒนา กลุ่มทดลอง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตเทศบาลบ้านเชตวัน จังหวัดแพร่ จำนวน 31 คน ซึ่งเป็นเด็กคละความสามารถ ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น แบบประเมินความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า
1. หลักการของแนวคิดการเรียนรู้ตามสภาพจริงที่ส่งเสริมการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ได้แก่ 1) การเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับบริบทชีวิตจริง 2) เน้นการลงมือปฏิบัติและเผชิญปัญหาที่ท้าทาย 3) การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และหลักการแนวคิดการเสริมศักยภาพ ได้แก่ 1) การมีปฏิสัมพันธ์ในการเรียน 2) การใช้กิจกรรมทางสังคมแบบกลุ่มร่วมมือ 3) การมอบหมายงานที่ท้าทายสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน 4) การเสริมต่อความสามารถโดยให้ความช่วยเหลือที่หลากหลาย ส่วนแนวทางการจัดกิจกรรมตามแนวคิดการเรียนรู้ตามสภาพจริงและการช่วยเสริมศักยภาพที่ส่งเสริมให้เกิดจินตนาการ ได้แก่ 1) การใช้บริบทแวดล้อมที่มีความหมายต่อผู้เรียนกระตุ้นให้สะท้อนความคิดและจินตนาการ 2) การศึกษาจากตัวอย่างที่ดี 3) การสอนหลักการเขียนและการวางโครงเรื่องก่อนเขียน 4) เน้นเขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงที่กระทบความรู้สึกของผู้เรียน 5) มีกิจกรรมท้าทายการคิดและเขียนอย่างอิสระโดยครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะ 6) สร้างบรรยากาศการเรียนที่สนุกสนาน 7) กำหนดทิศทางการเรียนที่ชัดเจน 8) เริ่มจากเรื่องง่ายและใกล้ตัวไปหาเรื่องยาก 9) การใช้คำถามชี้นำแบบปลายเปิดไม่ตีกรอบการตอบ และ 10) หยุดการให้ความช่วยเหลือทันทีเมื่อผู้เรียนสามารถทำงานได้ด้วยตนเอง
2. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล ชื่อว่า SSR-CEE Model มีกระบวนการ 6 ขั้นตอน คือ 1) สำรวจความคิด (Survey the Conceptual Idea: S) 2) พิชิตสถานการณ์ปัญหา (Solve the Real Life Problem: S) 3) ค้นคว้าสู่ความกระจ่าง (Research into Clarity: R) 4) สร้างสรรค์งานเขียน (Create writing: C) 5) แลกเปลี่ยนตรวจสอบ (Examine the product: E) 6) ประเมินสะท้อนคิดสู่ชีวิตจริง (Evaluation and Reflection to Apply to the Real World: E) ผลการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2) ดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับ 0.6051
3. การทดลองใช้และศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น พบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์หลังเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นในทุกประเด็นตัวชี้วัดของการประเมิน 2) นักเรียนมีความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความสามารถด้านการเขียนภาษาไทยเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Article Details
เจ้าของบทความมิได้คัดลอก หรือละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้ใด หากเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าวิธีใด หรือการฟ้องร้องไม่ว่ากรณีใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ กองบรรณาธิการวารสารศึกษาศาสตร์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ให้เป็นสิทธิ์ของเจ้าของบทความที่จะดำเนินการ
เอกสารอ้างอิง
Chiwaphan, A. (2011). Creative writing activity in Primary. Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai]
Eggen, P., & Kauchak, D. (1997). Educational psychology: Windows on classrooms (3rd ed.). Upper Saddle River, NJ: Merrill.
Joyce, B., & Weil, M. (1996). Model of teaching (5th ed). Boston: Allyn and Bacon.
Khammani, N. (2012). Teaching Science: Knowledge for effective learning management. Bangkok: Chulalongkorn University Publisher. [in Thai]
Ministry of Education. (2009). Learning standards and indicators of Thai language according to the Basic Education Core Curriculum B.E. 2551 (A.D. 2008). Bangkok: Bureau of Academic Affairs and Educational Standards. [in Thai]
Mongkonrat, T., Kaewurai, W., Kijkuakul, S., & Vibulrangson, S. (2012). A development of an instructional model focused on competency-based learning Thai language reading and writing for Mathayomsuksa 1 student. Journal of Education Naresuan university, 14(Special edition), 35-46. [in Thai]
National Institute of Educational Testing Service. (2015). Ordinary National Educational Test Manual
(O-NET). Bangkok: National Institute of Educational Testing Service. [in Thai]
Newmann, F. M., & Wehlage, G. G. (1993). Five standards of authentic instruction. Educational Leadership, 50(7), 8-12.
Nikitina, L. (2011). Creating an authentic learning environment in the foreign language classroom. International Journal of Instruction, 4(1), 33-46.
Seethong, P., Kaewurai, W., Wattanathorn, A., & Onthanee, A. (2016). The development of an instructional model based on collaborative learning with scaffolding to enhance Thai communicative writing ability for Prathomsuksa IV students. Journal of education Naresuan university, 18(4), 69-85. [in Thai]
Smith, J. A. (1973). Creative teaching of the language art in the elementary school. Boston: Allyn and Bacon.
Thaiubon, D. (2011). Thai writing skill (7th ed.). Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai]
Vygotsky, L. S. (1978). Mind in society: The development of higher psychological processes. Cambridge, MA: Harvard University Press.