ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์โดยประยุกต์ใช้อนุภาคเพื่อส่งเสริมมโนทัศน์ เรื่องอนุภาคในนิทานพื้นบ้าน ความสามารถด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์และพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 THE RESULTS OF USING THE CREATIVE LEARNING ACTIVITIES BY APPLYING THE MOTIF FOR ENHANCING THE CONCEPT ON MOTIF IN FOLKTALE, CREATIVE WRITING ABILITY AND DEVELOP STUDENTS' ABILITIES IN THE 21st CENTURY

Main Article Content

ชลธิชา หอมฟุ้ง

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ฯ กับกลุ่มทดลองและกลุ่มขยายผลในประเด็น (1) มโนทัศน์เรื่องอนุภาคในนิทานพื้นบ้าน (2) ความสามารถด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ (3) ความสามารถของผู้เรียน
ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย (3.1) ความคิดสร้างสรรค์ (3.2) ความเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม และ (3.3) การทำงานร่วมกัน (4) ความเห็นของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ฯ และ 2) ศึกษาผลการนำนิทานสร้างสรรค์ไปใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิชาเอกภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
กลุ่มขยายผล ได้แก่ นักศึกษาวิชาเอกภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎกาญจนบุรี กลุ่มตัวอย่างด้านการนำนิทานไปใช้ได้แก่ ครูและนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร และครูและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จังหวัดเพชรบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาความสามารถของผู้เรียน ได้แก่ แบบวัดมโนทัศน์เรื่องอนุภาค
ในนิทานพื้นบ้าน แบบวัดความสามารถด้านการเขียนนิทานเชิงสร้างสรรค์ แบบวัดความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ แบบวัดความสามารถด้านความเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม และแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกัน ประเด็นคำถามในการสะท้อนความคิดเห็นของผู้เรียนหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ฯ และเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาผลการนำนิทานสร้างสรรค์ไปใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอน คือ แบบสอบถามความคิดเห็นของครูและนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย ดังนี้ 1) ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ฯ ที่วัดผลโดยใช้แบบวัดความสามารถ พบว่า ความสามารถของผู้เรียนทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มขยายผลในทุกด้าน ได้แก่ (1) มโนทัศน์เรื่องอนุภาค (2) ความสามารถด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ (3) ความสามารถของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย (3.1) ความคิดสร้างสรรค์ (3.2) ความเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3.3) ความสามารถด้านการทำงานร่วมกันของผู้เรียนสูงขึ้น (4) ด้านความเห็นของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ฯ มีความเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวมีประโยชน์ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนานักศึกษาให้เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ 2) ประโยชน์ด้านการเขียนเรื่อง 3) การเรียนรู้อย่างมีความสุข 4) การนำไปต่อยอดในอาชีพครูต่อไปในอนาคต และ 5) เสริมสร้างความเข้าใจการทำงานร่วมกัน การเข้าใจผู้อื่น รวมทั้งวัฒนธรรมอื่น และ 2) ผลการนำนิทานสร้างสรรค์ไปใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอน พบว่าครูทั้งระดับมัธยม ประถม นักเรียนระดับมัธยม ประถมศึกษา มีความคิดเห็นในการนำนิทานสร้างสรรค์ไปใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนสอดคล้องกันว่านิทานสร้างสรรค์ที่เกิดจากการนำอนุภาคมาแต่งเป็นนิทาน สามารถนำไปใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยได้จริง โดยมีผลความเห็นด้วยในระดับมาก ทั้งในด้านเนื้อหา ด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านประโยชน์

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
หอมฟุ้ง ช. (2020). ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์โดยประยุกต์ใช้อนุภาคเพื่อส่งเสริมมโนทัศน์ เรื่องอนุภาคในนิทานพื้นบ้าน ความสามารถด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์และพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21: THE RESULTS OF USING THE CREATIVE LEARNING ACTIVITIES BY APPLYING THE MOTIF FOR ENHANCING THE CONCEPT ON MOTIF IN FOLKTALE, CREATIVE WRITING ABILITY AND DEVELOP STUDENTS’ ABILITIES IN THE 21st CENTURY. Journal of Education and Innovation, 24(3), 136–146. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/241045
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Anuntasarn, S. (2009). Contemporary folklore theories. Bangkok: Ramkhamhaeng University. [in Thai]

Dachakupt, P., & Yindeesuk, P. (2015). Learning management in 21st century. Bangkok: Chulalongkorn University Printing House. [in Thai]

Homfung, C. (2019). The development of creative learning activities to teach motif in folktale and develop students' abilities in the 21st century. Proceeding of Joint International Education Conference: The 8th PSU Education Conference & 4th Inspirational Scholar Symposium (ISS) 2019 “Growth Mindset Innovative and Integrated Work-Ready Education” (pp. 174-181). Thailand.

Khammani, T. (2007). The science of teaching. Bangkok: Chulalongkorn University Printing House. [in Thai]

Kuriyama, K., & Schwartz, A. W. (2015). Teaching language, culture, and literature together to enhance trans-cultural competence and L2 proficiency. Notandum, 39, 21-39.

Laowreandee, W. (2017). The Active Learning strategies to develop thinking and enhance quality of education in 21st century. Nakornprathom: Phetkasam printing group.

Na Thalang, S. (2009). The folklore theory: methodology to analyze legend and the folktale. Bangkok: Chulalongkorn University Printing House. [in Thai]

Olusegun. (2015). Constructivism learning theory: A paradigm for teaching and learning. Journal of Research & Method in Education (IOSR-JRME), 5(6), 66-70.

Patjusanon, S. (2017). The creation of magic motif in fantasy novel the white road (Master thesis). Chonburi: Burapha University. [in Thai]

Petthong, Th. (2018). A development of Thai grammatical learning achievement on sentences of grade 8 students using RM3S based on constructivism theory (Master thesis). Nakornprathom: Silpakorn University. [in Thai]

Ruamsuk, P. (2015). The development of tales to enhance generosity in children in early childhood (Master thesis). Nakornprathom: Mahidol University. [in Thai]

Schunk, D. H. (1996). Learning theories (2nd ed.). Englewood Cliffs: Merrill Prentice Hall.

Thompson, S. (1977). The folktale. Berkeley: University of California Press.

Totten, S., Sills, T., Digby, A., & Russ, P. (1991). Cooperative learning: A guide to research. New York: Garland.

Vetchasart, K. (2019). The problems in teaching motif. [Interviewed by Homfung, C.]