การสร้างแบบวัดการคิดเชิงบวกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย A CONSTRUCTION OF POSITIVE THINKING TEST FOR HIGH SCHOOL STUDENTS
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้าง ตรวจสอบคุณภาพ และทั้งสร้างเกณฑ์ปกติของแบบวัดการคิดเชิงบวกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จากศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดเชิงบวก ทำให้ได้แบบวัดการคิดเชิงบวกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป และแบบวัดการคิดเชิงบวกที่มี 6 องค์ประกอบ จำนวน 42 ข้อคำถาม ซึ่งทั้ง 42 ข้อคำถาม มีค่า IOC มากกว่า 0.6 และมีค่าอำนาจจำแนกมากว่าศูนย์อย่างมีนัยทางสถิติ และจากการสุ่มทดลองใช้กับนักเรียนจำนวน 466 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 73.6 แยกเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6, 5 และ 4 คิดเป็นร้อยละ 36.1, 32.8 และ 31.1 ตามลำดับ และส่วนใหญ่นักเรียนมีเกรดเฉลี่ยระหว่าง 3.01 – 4.00 คิดเป็นร้อยละ 58.6 และพบว่า แบบวัดมีความตรงเชิงโครงสร้างอย่างมีนัยทางสถิติ โดยมีค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนเปรียบเทียบ (CFI) เท่ากับ 0.994 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบของ Tucker และ Lewis (TLI) เท่ากับ 0.993 ดัชนีรากที่สองของค่าเฉลี่ยความคลาดเคลื่อนกำลังสองของการประมาณค่า (RMSEA) เท่ากับ 0.013 ค่าดัชนีรากของกำลังสองเฉลี่ยของเศษเหลือมาตรฐาน (SRMR) เท่ากับ 0.036 ความเชื่อมั่นของแบบวัดเท่ากับ 0.947 และได้เกณฑ์ปกติของแบบวัดมีค่าอยู่ระหว่าง T21 ถึง T72
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เจ้าของบทความมิได้คัดลอก หรือละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้ใด หากเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าวิธีใด หรือการฟ้องร้องไม่ว่ากรณีใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ กองบรรณาธิการวารสารศึกษาศาสตร์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ให้เป็นสิทธิ์ของเจ้าของบทความที่จะดำเนินการ
เอกสารอ้างอิง
Naksin, S. (2009). Factor analysis of positive thinking of the third level students (Master thesis). Bangkok: Srinakharinwirot University. [in Thai]
Nakwatchara, W. (2000). Elegant lifestyle. Bangkok: Self-Development and Executive Institute. [in Thai]
Peiffer, V. (1992). Positive thinking: Everything you have always known about positive thinking but were afraid to put into practice. Rockport, MA: Element.
Peiffer, V. (2005). Positive thinking (N. Chonlakoop, Trans.). Bangkok: Bliss Publishing. [in Thai]
Phonsab, A. (2008). A study of the relationship between some factors and positive thinking of mathayomsuksa III students in Nonthaburi Educational Service Area I (Master thesis). Bangkok: Srinakharinwirot University. [in Thai]
Phuachoo, S. (2004). A developmental study on synthesis thinking and optimism of junior high school students in the Educational Area III (Master thesis). Bangkok: Srinakharinwirot University. [in Thai]
Pranorm, O. (2005). The power of word to the power of heart. Bangkok: Pimkum Press. [in Thai]
Rakmaneewong, Y. (2013). Depression and auto-negative thoughts, the roots of the problems. Journal of Nursing and Health Sciences Naresuan University, 7(1), 7-24. [in Thai]
Srijun, K. (2018). The Development of Self-esteem Inventory of 4th – 6th Grade Students. Journal of Education Srinakharinwirot University, 13(1), 1-14. [in Thai]
Srithipun, P., Chaleerakand, W., Phantong, W., & Suksawang, P. (2016). Factors affecting positive thinking in the work of teachers and education personnel: MIMIC analysis. Veridian E-Journal Silpakorn University, 9(1), 1336 – 1348. [in Thai]
Supannopaph, P., Charoensuk, O., Ong-Art Naiyapatana, O., & Ngudgratoke, S. (2017). A factor analysis of the positive thinking characteristics for undergraduate students of Silpakorn University. Veridian E-Journal Silpakorn University, 10(1), 1072-1086. [in Thai]
Ventrella, S. W. (2002). The power of positive thinking in business: Ten traits for maximum results. New York: Free Press.
