การศึกษาเปรียบเทียบบทเพลงธรรมคีตะในศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และบทเพลงในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาบทเพลงธรรมคีตะในศาสนาพุทธเถรวาท 2) เพื่อศึกษาบทเพลงในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และ 3) เพื่อเปรียบเทียบบทเพลงธรรมคีตะในศาสนาพุทธนิกายเถรวาทและศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎก คัมภีร์ไบเบิล เอกสารวิชาการ และการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ นักบวช และผู้ปฏิบัติงานด้านบทเพลงในศาสนสถาน ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเพลงธรรมคีตะในศาสนาพุทธนิกายเถรวาทมีลักษณะเป็นการถ่ายทอดธรรมะในลักษณะผสมผสานระหว่างเนื้อหา เสียงร้อง ทำนอง และจังหวะ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจในคำสอนหรือธรรมะได้ง่าย ทำให้ใจสงบ ทำให้จิตมีความนุ่มนวลควรแก่งาน น้อมนำให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญาต่อไป โดยเน้นความเรียบง่ายและเหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม บทสวดและบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนาพุทธหรือคุณธรรม เช่น พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ และกรรมฐานต่างๆ รวมไปถึงคำสอนในพระไตรปิฎก ได้แก่ อริยสัจ 4 กฎแห่งกรรม สามารถเข้าถึงได้ง่าย สามารถนำจิตใจของผู้ฟังให้เข้าถึงสมาธิและเกิดปัญญาได้เช่นเดียวกับการฟังพระธรรมเทศนา 2) บทเพลงในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หรือที่เรียกว่า “บทเพลงศักดิ์สิทธิ์” มีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เช่น พิธีมิสซา พิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ และวันฉลองต่างๆ เนื้อหาสะท้อนถึงความเชื่อในพระเจ้า พระเยซูเจ้า ความรัก การให้อภัย และความหวังในชีวิตนิรันดร์ เพลงบางบทอิงจากพระคัมภีร์ไบเบิล 3) บทเพลงธรรมคีตะในทั้งสองศาสนามีจุดร่วมสำคัญคือ เป็นเครื่องมือในการสื่อสารหลักธรรมและส่งเสริมภาวะจิตใจของผู้ศรัทธาให้สงบ สะอาด และสว่าง โดยอาศัยเสียงดนตรีเป็นสื่อกลาง ลักษณะของการใช้ภาษา วัตถุประสงค์ของการขับร้อง และบริบททางพิธีกรรม กล่าวคือ ธรรมคีตะในพุทธศาสนาเถรวาทเน้นการใช้เพื่อการเรียนรู้ธรรมะและปฏิบัติเพื่อให้จิตใจมีความนุ่มนวลควรแก่งาน น้อมนำให้เกิดสติ สมาธิ และปัญญา ในขณะที่บทเพลงในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมหมู่คณะ และเน้นการสรรเสริญ ขอบพระคุณ ขอโทษ และวอนขอพระเป็นเจ้า
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
- บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร มจร พุทธศาสตร์ปริทรรศน์
- ข้อความใดๆ ที่ปรากฎในบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และข้อคิดเห็นนั้นไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสาร มจร พุทธศาสตร์ปริทรรศน์
เอกสารอ้างอิง
ชัยวัฒน์ คุประตกุล. (2548). พุทธศาสนากับความงามทางศิลปะ. กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ.
ฐาปกรณ์ กระแสทิพย์. (2554). การสื่อสารผ่านบทเพลงของคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธนิต อยู่โพธิ์. (2518). ดนตรีในพระธรรมวินัย. กรุงเทพฯ: พิมพ์ในนามโรงเรียนพุทธจักรวิทยา วัดหัวลำโพง.
นพ.ธวัชชัย กมลธรรม. (2568). อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย. สวดมนต์บำบัดแบบไทย รักษาใจ ไม่ต้องใช้ยา. สืบค้น 1 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.thaihealth.or.th
พรรณราย สุขะโต. (2553). บทเพลงธรรมคีตะกับการปลูกฝังคุณธรรมในเยาวชนไทย. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา. 3(1), 55–68.
พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ธีราจารย์ และคณะ. (2566). การนำเสนอการพัฒนาสุขภาพจิตสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมด้วยธรรมคีตะออนไลน์. รายงานวิจัย. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พีระพงศ์ ชอบชื่นสุข. (2557). ศึกษาวัฒนธรรมดนตรีการนมัสการในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก: กรณีศึกษาวัดแม่พระลูกประคำกาลหว่าร์. วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 6(2), 199.
สุรีพร ธรรมิกบวร. (2561). พลังของเสียงเพลงในศาสนพิธี: การศึกษาข้ามศาสนา. วารสารศาสนาและวัฒนธรรม. 2(2), 91–103.
Begbie, J. S. (2000). Theology, Music and Time. Cambridge: Cambridge University Press.
Day, T. (1990). Why Catholics Can't Sing: The Culture of Catholicism and the Triumph of Bad Taste. New York: Crossroad Publishing
Joseph, G. (1963). Voices and Instruments in Christian Worship. London: Geoffrey Chapman