การศึกษารูปแบบการอยู่ร่วมกันระหว่างคนมีศาสนาและคนไม่มีศาสนา : เปรียบเทียบการอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนาเชิงสถาบันและศาสนาเชิงธรรมชาติในสังคมไทย
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการอยู่ร่วมกันของคนมีศาสนาของศาสนาเชิงสถาบัน 2) เพื่อศึกษาการอยู่ร่วมกันของคนไม่มีศาสนาของศาสนาเชิงธรรมชาติ 3) เพื่อเปรียบเทียบการอยู่ร่วมกันของคนมีศาสนาและคนไม่มีศาสนา : กรณีศึกษาการอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนาเชิงสถาบันและศาสนาเชิงธรรมชาติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่การศึกษาเอกสาร งานวิจัย และการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 ท่าน ผลการวิจัย พบว่า 1. การอยู่ร่วมกันของคนมีศาสนาของศาสนาเชิงสถาบัน พบว่า ศาสนาเชิงสถาบันจะมีองค์ประกอบที่ชัดเจน มีหน้าที่ที่ปฏิบัติ มีเป็นศูนย์กลางของประชาชนและเป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นแบบอย่างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนให้ความเคารพนับถือและเลื่อมใสศรัทธา เนื่องจากวัดและเจ้าอาวาส เป็นผู้อยู่ใกล้พุทธศาสนิกชนมากที่สุดและเข้าใจพื้นฐาน ขนบธรรมเนียม ประเพณีท้องถิ่นของเขตพื้นที่ได้ดีที่สุด มีหน้าที่ปฏิบัติชัดเจน 2. การอยู่ร่วมกันของคนไม่มีศาสนาของศาสนาเชิงธรรมชาติ พบว่า หลักการอยู่ร่วมกันผ่านประเพณี คือ พิธีกรรมและความเชื่อตามประเพณีในสังคมไทย เนื่องจากสังคมไทยเป็นที่รวมของความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และหลากหลายทางวัฒนธรรมประเพณีที่แบ่งแยกออกไปเป็นพิธีกรรมความเชื่อ และประเพณีตามลักษณะของภูมิประเทศ เช่น ความเชื่อ พิธีกรรม และประเพณีของคนในชุมชนภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ 3. เปรียบเทียบการอยู่ร่วมกันของคนมีศาสนาและคนไม่มีศาสนา : กรณีศึกษาการอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนาเชิงสถาบันและศาสนาเชิงธรรมชาติ พบว่า หลักการอยู่ร่วมกันในวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องความเชื่อ เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวคิดและพฤติกรรมของชาวบ้านกลุ่มนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง เพราะการสืบทอดความเชื่อมีการปลูกฝังต่อกันมาหลายชั่วคนในพื้นที่ต่างๆ กัน
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร มจร ปรัชญาปริทรรศน์
ข้อความในบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และข้อคิดเห็นนั้นไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสาร มจร ปรัชญาปริทรรศน์
เอกสารอ้างอิง
กาญจนาณัฐ ประธาตุ. (2559). “พระพุทธศาสนากับสังคมไทย: การยืนหยัดและท้าทายในรอบทศวรรษ (พ.ศ. 2548-2558)”. วารสารศิลปการจัดการ, 1(1), หน้า 106.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
ปรีชา ช้างขวัญยืนและ สมภาร พรมทา. (2552). มนุษย์กับศาสนา.กรุงเทพ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พระมหาขวัญชัย เหมประไพ, พระภาวนาวชิรสุนทร วิ.(กิตติเชษฐ์ เปรมสกุล), พระครูภาวนาวัฒนบัณฑิต วิ. (เจริญ มันจะนา). (2568). ความไม่มีศาสนา: ข้อเสนอความเชื่ออย่างมีเหตุผลในพระพุทธศาสนาเถรวาท. วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ, 10(1), หน้า 290-231. ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2568, หน้า 299.)
มงคล เปลี่ยนบางช้าง. (2548). บทร้องเล่นและเพลงพื้นบ้านภาคเหนือและบทวิเคราะห์. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แม๊ค.
มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย. (2542). สารานุกรมไทยวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่มที่ 2. กรุงเทพมหานคร: ธนาคารไทยพาณิชย์.
ประเวศ อินทองปาน. (2559). “การธำรงวัฒนธรรมไทยที่มีรากฐานจากพระพุทธศาสนา”, วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 3(1), หน้า 68.
พุทธทาสภิกขุ. (2561). ศาสนาคืออะไร. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ.
ราชบัณฑิตยสถาน.(2557). พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน.
วารุณิ ภูริสินสิทธิ์. (2556). ครอบครัวในความหมายใหม่: การค้นหาชีวิตแบบใหม่. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.
วัชรชัย วิวัฒน์คุณากร. (2564). ศาสนาผีในรัฐไทย, วารสารวิชาการไทยวิจัยและการจัดการ, 2(2), หน้า 26-40.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). (2566). นิยามประเภทประเพณี: ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย, ประเพณีท้องถิ่นประเทศไทย, สืบค้นเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 จาก https://catalog.travellink.go.th/ sq/dataset/sac_tradition.
อคิน รพีพัฒน์. (2551). วัฒนธรรมคือความหมาย: ทฤษฎีและวิธีการของคลิฟฟอร์ด เกียร์ซ. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
Clifford Geertz. (2000). The Interpretation of Cultures. New York: Basic Books.
Susan Pitchford. (2008). Identity Tourism : Imaging and Imagining the Nation. Bingley: Emerald Publishing Ltd.