การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

Main Article Content

วารินท์พร ฟันเฟื่องฟู

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (2) ศึกษาทักษะกระบวนกลุ่มหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของวิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 18 แผน ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 (2) แบบประเมินทักษะกระบวนการกลุ่ม วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งทุกรายการประเมิน มีค่า IOC เท่ากับ 1.00 และ (3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


ผลการวิจัยพบว่า


(1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความเหมาะสมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.76, σ = 0.36)


(2) ทักษะกระบวนกลุ่มหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชา   สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (µ = 3.79, σ = 0.41) 


(3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวม นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (µ = 4.39, σ = 0.32)

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ฟันเฟื่องฟู ว. (2025). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารนิสิตวัง, 27(2), 47–55. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/288343
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กมลทิพย์ ทองเทพ และคณะ. (2565). การศึกษาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการโดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันของเด็กปฐมวัย. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 33 (3), 151-167.

ดวงเดือน เทพนวล. (2556). การพัฒนาพฤติกรรมด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบของนักคึกษkมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม. วารสารวิจัยราชภัฏเชียงใหม่, 4 (12), 97-108.

นพเกล้า ศรีมาตย์กุล. (2557). ผลของการใช้เทคนิคการสอนแบบแบ่งกลุ่มย่อยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแลtความพึงพอใจของนักศึกษาในรายวิชา DES111 ทัศนศิลป์ 1 สาขาดิจิทัลอาร์ตส์ คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม (รายงานวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน). กรุงเทพ : มหาวิทยาลัยศรีปทุม.

บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สุวิริยาสาส์น.

_______. (2556). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

ปิยะมาศ ชาติมนตรี. (2550). การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือโดยใช้สวนพฤกษศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

พิพัฒน์พงษ์ ดำมาก. (2564). การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

วารินท์พร ฟันเฟื่องฟู. (2567). การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ดีเจริญ ดี ยู. วี. เซนเตอร์.

_______. (2568). การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาวิธีวิทยา

สุริยา หาญพิชัย. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยกระบวนการกลุ่มในรายวิชากลยุทธ์การวางแผนพัฒนาท้องถิ่นเชิงบูรณาการ. วารสารวิชาการคณะมนุษย์และสังคมศาสตร์, 9 (1), 15-26.

สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2552). 19 วิธีการเรียนรู้ : เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์.

Varinporn Funfuengfu. (2022). The development of Phenomenon-Based Learning Model for enhancing Active learning Competencies of Teacher Students. International Journal of Positive School Psychology, 6 (7), 1366-1377.