โปรแกรมสุขศึกษาในการสร้างเสริมทักษะชีวิตร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม เพื่อการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ในโรงเรียนชีทวนวิทยาสามัคคี ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี

Main Article Content

นิตยา ศรไชย
สุภาพร ใจการุณ
กุลชญา ลอยหา

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสุขศึกษาในการสร้างเสริมทักษะชีวิตร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยมีกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง จำนวน 33 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 33 คน ซึ่งกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมสุขศึกษา เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบให้มีการเรียนการสอนตามปกติ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการทดลองโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในส่วนของข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง และใช้สถิติอนุมานเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยของคะแนนายในกลุ่มด้วย Paired t-test เปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยของคะแนนระหว่างกลุ่มด้วย Independent t-test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนด้านความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ด้านทักษะชีวิตและด้านแรงสนับสนุนทางสังคม สูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เนื่องจากโปรแกรมสุขศึกษาได้ประยุกต์การใช้สื่อประกอบการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตในวัยรุ่น  โดยสรุปโปรแกรมสุขศึกษาโดยประยุกต์ทักษะชีวิตร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม ในการพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีประสิทธิผล สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 นำไปขยายผลสู่กลุ่มนักเรียนในระดับเดียวกันได้

Article Details

บท
Research Articles
Author Biographies

สุภาพร ใจการุณ, หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขา การสร้างเสริมสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขา การสร้างเสริมสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

กุลชญา ลอยหา, คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

References

คลังพลอย เอื้อวิทยาศุภรและอรณิชา โพธิ์หมื่นทิพย์. (2556).ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ

พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่น อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2563, จาก http://journal.knc.ac.th/pdf/17_2_2554_2.pdf.

เจตนิพิฐ สมมาตย์. (2550). การสร้างเสริมทักษะชีวิตร่วมกับกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วน

ร่วมต่อพฤติกรรมการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนแห่งหนึ่ง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น. บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

ธิดารัตน์ ผลเต็ม. (2553). ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาโดยการประยุกต์ใช้การ

เสริมสร้างทักษะชีวิตร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันการสูบบุหรี่ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

เนตรทราย ปัญญชุณห์. (2552). การเสริมสร้างทักษะชีวิตเพื่อป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ของ

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์. บัณฑิตวิทยาลัย :

มหาวิทยาลัยมหิดล.

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ [สสส.]. (2555). แผนหลัก สสส. 2555 –

กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.

สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2560). คู่มือพัฒนาศักยภาพ

แกนนำวัยรุ่น. นนทบุรี: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี. (2560). โปรแกรม HDC. อนามัยแม่และเด็ก.วันที่ 16 เมษายน 2561https://ubn.hdc.moph.go.th/hdc/main/index_pk.php

อรอานันท์ ใสแสง. (2552). ประสิทธิผลของการประยุกต์ใช้แนวคิดการพัฒนาทักษะชีวิต

ร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อป้องกันการติดเกมในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

อัญชลี ภูมิจันทึก. (2554). ประสิทธิผลโปรแกรมสุขศึกษาในการประยุกต์ใช้การสร้างเสริม

ทักษะชีวิตกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแห่งหนึ่ง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา. บัณฑิตวิทยาลัย :มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

Lou, C.H., Wang, X.J., Tu, X.W., & Gao, E.S. (2008). Impact of Life Skills Training

to Improve Cognition on Risk of Sexual Behavior and Contraceptive Use among Vocational School Students in Shanghai, China. Journal of Reproduction and Contraception, 19(4), 239-251.