การศึกษาสันติภาพ: กรณีศึกษาหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส .)
คำสำคัญ:
หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข (4ส ), การแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง, การศึกษาสันติภาพบทคัดย่อ
ความท้าทายใหญ่ของสันติภาพคือ การธำรงความขัดแย้งในประเทศไทยโดยเฉพาะความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานยังไม่ได้รับการแก้ไขให้เกิดสันติภาพเชิงบวก (Positive Peace) ได้อย่างถาวร บทความนี้เป็นการนำเสนอเรื่องการศึกษาสันติภาพ (Peace Education) โดยเฉพาะการศึกษากรณีศึกษาของหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข หรือ หลักสูตร4 ส ซึ่งเป็นหลักสูตรที่นำแนวคิดการแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง (Conflict Transformation) ขับเคลื่อนและผลิตนักสันติภาพในระดับนักบริหาร คณาจารย์และนักขับเคลื่อนสังคมโดยในหลักสูตรฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าศึกษาอบรม ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสันติภาพเชิงบวกและมีทักษะเบื้องต้นในการสร้างสันติสุขในสังคม (Peacebuilding)
แนวความคิดการแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง (Conflict Transformation) ที่เป็นหัวใจของหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุขสำคัญมากเพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่รากเหง้า โดยเน้นวิธีการแก้ไขความขัดแย้งแบบยั่งยืน และมีเจตคติที่ยอมรับและเห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลายในสังคม รวมทั้งยึดมั่น สันติวิธีทั้งในสำนึกและพฤติกรรม โดยเน้นการสร้างสันติวัฒนธรรมให้ลึกถึงคุณค่า ดังนั้น สันติวัฒนธรรมจึงสำคัญ เพื่อทำให้สังคมไทยพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้ก้าวหน้าสู่สันติวิธี (มิติเชิงคุณค่า) ได้ดียิ่งขึ้นและสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนกับบุคคลจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในชั้นเรียนและในพื้นที่มาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและสร้างสันติสุขในสังคมอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้และปัญหาความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองไทย โดยในบทความชิ้นนี้ประกอบไปด้วยการศึกษาแนวคิดกระบวนการศึกษาสันติภาพศึกษาในประเทศไทย และการศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุขหรือ หลักสูตร 4 ส มีคุณูปการแก่ประเทศไทยในมิติความมั่นคงและความปรองดองของประเทศ และที่สำคัญคือหลักสูตรฯ ผลิตนักสันติภาพมาเป็นระยะเวลา 12 รุ่น ( รุ่นปัจจุบัน พ.ศ.2565 ) เน้นกระบวนการวิธีที่จะสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เข้าศึกษาอบรมเพื่อเสริมสร้างทักษะสันติภาพให้เกิดการรู้จักการเป็นผู้นำแบบเข้าอกเข้าใจ (Empathetic Leadership) และเข้าใจในความแตกต่างระหว่างกันของบุคคลที่อยู่ร่วมกันในสังคม (Tolerance) รวมไปถึงรู้จักทักษะต่าง ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยการเคารพความแตกต่างในสังคมพหุวัฒนธรรม (Multiculturalism) อีกทั้งการผลิตนักสันติภาพของหลักสูตร 4 ส เป็นการหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพในพื้นที่ความขัดแย้งรุนแรงของประเทศไทยในหลายกรณี
Downloads
References
ภาษาอังกฤษ
Abu-Nimer, Mohammed (eds.). (2001). Reconciliation, Justice, and Coexistence: Theory and Practice. Lanham, MD: Lexington Books.
Bajaj, Monisha (edit.), (2008). Encyclopedia of Peace Education, Information Age
publishing, Inc., Charlotte, North Carolina, USA.
Baijai, & Brantmeier, (2011). The Politics, Praxis, and Possibilities of Critical Peace
Education.Journal of Peace Education.8:3, 221-224.
Burns, R. J., & Aspeslagh, R. (1996). Three decades of peace education around the world: An anthology. New York: Garland Pub.
Diaz-Soto, L. (2005). How can we teach peace when we are so outraged? A call for critical peace education. Taboo: The Journal of Culture and Education, Fall-Winter, 91-96.
Galtung, J.(1969). Peace by Peaceful Means: Peace and Conflict Development and Civilsation.Oslo: PRIO.
Harris, I and Morrison, M. (2003). Peace education. Jefferson, North Carolina: Mcfarland
and company, inc.
Reardon, B. A. (1988). Comprehensive Peace Education: Educating for Global
Responsibility. New York:Teachers College Press.
Salomon, G., & Nevo, B. (Eds.). (2002). Peace education: The concept, principles, and
practices around the world. Lawrence Erlbaum Associates Publishers.
ภาษาไทย
กษมา จิตร์ภิรมย์ศรี. (2558) . "สันติภาพศึกษา: บทบาท และกระบวนการมีส่วนร่วม ในการแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง." วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 53-76.
ไชยันต์ รัชชกูล. ( 2537 ). “ความขัดแย้งในบริบทของสันติศึกษา.” ในเอกสารการสอนชุดวิชาสันติศึกษา หน่วยที่1 -7 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ธงชัย สมบูรณ์, 2563: สันติศึกษาอริยทรัพย์ของมวลหมู่มนุษยชาติ Peace Education: The Great Property of Humanity.กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
License
บทความ ข้อความ ภาพประกอบ และตารางประกอบที่ลงพิมพ์ในวารสารเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นตามเสมอไป และไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์เพียงผู้เดียว