การวางแนวเสียงแบบดรอปทูสำหรับกีตาร์
DOI:
https://doi.org/10.59796/rmj.V20N2.2025.A0101คำสำคัญ:
แนวเสียงดรอปทู, แนวเสียงสำหรับกีตาร์, การนำแนวเสียงบทคัดย่อ
การวางแนวเสียงดรอปทู คือ การวางแนวเสียงแบบหนึ่งที่ใช้ในกับอย่างแพร่หลายในหมู่นักดนตรีแจ๊ส โดยเฉพาะนักกีตาร์ในยุคบีบอปอย่างเช่น เวส มอนโกเมอรี่, บาร์นี่ คาสเซิล, โจ แพส เนื่องจากการวางแนวเสียงดรอปทูเป็นการวางแนวเสียงที่พอเหมาะกับช่วงเสียงและปฏิบัติได้ง่ายบนเครื่องกีตาร์ บทความนี้จะได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องแนวเสียงดรอปทูสำหรับกีตาร์อย่างเป็นระบบ อันประกอบไปด้วยทฤษฎีการสร้างแนวเสียงดรอปทู การสร้างสีสันให้แนวเสียงโดยการเติมเทนชันต่าง ๆ และหัวข้อที่สำคัญซึ่งในบทความนี้ต้องการนำเสนอ คือ วิธีการนำแนวเสียงดรอปทูนี้ไปประยุกต์ใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงมีการยกตัวอย่างการนำไปใช้งานจริงจากศิลปินกีตาร์แจ๊ส
การวางแนวเสียงแบบดรอปทู คือ การย้ายโน้ตในลำดับที่ 2 จากข้างบนของแนวเสียงแบบ 4 โน้ตวางชิด ลงมา 1 ช่วงคู่แปด โดยคอร์ดพื้นฐานที่ใช้ในการวางแนวเสียงดรอปทู ได้แก่ คอร์ดทบเจ็ดเมเจอร์ คอร์ดทบเจ็ดโดมินันท์ คอร์ดทบเจ็ดไมเนอร์ คอร์ดทบเจ็ดกึ่งดิมินิชท์ แต่ละคอร์ดมี 4 แนวเสียง คือ แนวเสียงพื้นต้น แนวเสียงพลิกกลับขั้นที่หนึ่ง แนวเสียงพลิกกลับขั้นที่สอง และแนวเสียงพลิกกลับขั้นที่สาม ในแต่ละแนวเสียงบนกีตาร์จะมีรูปแบบการจับคอร์ดที่แตกต่างกันด้วย โดยจะแบ่งตามกลุ่มของสายกีตาร์ได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสายชุดบน ได้แก่ สายที่ 1 2 3 4 กลุ่มสายชุดกลาง ได้แก่ สายที่ 2 3 4 5 และกลุ่มสายล่าง ได้แก่ สายที่ 3 4 5 6 โดยกลุ่มสายชุดบนและชุดกลางจะถูกนำไปใช้บ่อยที่สุด ส่วนกลุ่มสายชุดล่างจะไม่ค่อยได้ถูกนำไปใช้เนื่องจากเป็นช่วงเสียงที่ต่ำ และมีความชัดเจนน้อย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และบริบทในการบรรเลงด้วย หลังจากทำความเข้าใจกับคอร์ดหลักพื้นฐานแล้วจะมีการเติมสีสันต่าง ๆ ของคอร์ด โดยพิจารณาในเรื่องเทนชันที่เหมาะสมของแต่ละคอร์ด โดยคอร์ดทบเจ็ดเมเจอร์มีเทนชันที่เหมาะสม ได้แก่ เทนชัน 9 และ #11 คอร์ดทบเจ็ดไมเนอร์มีเทนชันที่เหมาะสม ได้แก่ เทนชัน 9 และ 11 คอร์ดทบเจ็ดกึ่งดิมินิชท์มีเทนชันที่เหมาะสม ได้แก่ เทนชัน 9 และ 11 คอร์ดทบเจ็ดโดมินันท์มีเทนชันที่เหมาะสม ได้แก่ เทนชัน 9 b9 #9 #11 b13 และ 13 ในการเติมเทนชันเข้าไปในแนวเสียงดรอปทู จะต้องมีการตัดโน้ตบางตัวในแนวเสียงออก การเติมเทนชันในกลุ่มเทนชัน 9 ได้แก่ 9 b9 #9 เข้าไปในแนวเสียงดรอปทูจะต้องตัดโน้ตพื้นต้นออก (9 แทน 1) หรือ เติมเทนชันในกลุ่ม 11, 13 ได้แก่ 11 #11 b13 13 จะต้องตัดโน้ตลำดับที่ 5 ออก (11,13 แทน 5) ทั้งนี้เทนชันในกลุ่ม 9 และ 11, 13 สามารถใช้ร่วมกันได้ในแนวเสียงเดียว การเติมเทนชันต่าง ๆ เข้าไปนอกจากจะทำให้คอร์ดมีสีสัน สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายรูปแบบแล้ว ยังทำให้คอร์ดเปลี่ยนรูปไปเป็นคอร์ดพ้องเสียงอีกด้วย
การเติมเทนชัน 9 ลงไปในคอร์ด CMaj7 C7 C-7 และ C-7b5 พบว่าจะได้คอร์ดพ้องเสียงเป็น E-7 E-7b5 EbMaj7 และ Eb-Maj7 ตามลำดับ ในกรณีที่เติมเทนชัน b9 และ #9 ลงคอร์ดโดมินันท์แปลง จะได้คอร์ดพ้องเสียงเป็น Eº7 และ EºMaj7 เมื่อเติมเทนชัน 11 ลงในคอร์ด C-7 และ C-7b5 จะได้คอร์ดพ้องเสียงเป็น F7sus4 และ F#Maj7b5 เติมเทนชัน #11 ลงในคอร์ด CMaj7 C7 จะได้คอร์ดพ้องเสียงเป็น F#-7b5(11) และ F#7b5 เมื่อเติมเทนชัน 13 และ b13 ลงบนคอร์ด C7 จะได้คอร์ดพ้องเสียงเป็น F#7(#9,#11) และ F#7(9,#11) ในกรณีคอร์ดโดมินันท์แปลง นิยมที่จะใช้เทนชัน 2 ตัวร่วมกัน ดังนี้ C7(b9,#11) มีคอร์ดพ้องเสียงเป็น F#7 C7 (b9,b13) มีคอร์ดพ้องเสียงเป็น Bb-7b5 C7 (b9,13) มีคอร์ดพ้องเสียงเป็น BbºMaj7 C7(#9,#11) มีคอร์ดพ้องเสียงเป็น F#7(13) และ C7 (#9,b13) มีคอร์ดพ้องเสียงเป็น EMaj7b5
สำหรับการนำแนวเสียงดรอปทูไปใช้งาน จะพิจารณาที่โน้ตตัวบนสุดของแนวเสียงเป็นสำคัญ ร่วมกันกับการใช้เทนชันที่เหมาะสมในแต่ละคอร์ด ในบทความนี้จะเน้นแสดงตัวอย่างของการนำแนวเสียงดรอปทูไปใช้ใน 3 รูปแบบด้วยกัน คือ ใช้ในการวางเสียงประสานของทำนองเพลงบนกีตาร์ โดยโน้ตตัวบนสุดจะต้องเป็นทำนองเพลงหลัก ใช้ในการอิมโพรไวส์ในลักษณะบล็อกคอร์ด โน้ตตัวบนสุดจะต้องเป็นทำนองที่ใช้อิมโพรไวส์ และใช้ในการบรรเลงประกอบ โน้ตตัวบนสุดของแนวเสียงจะเคลื่อนตัวได้อิสระ แต่จะต้องมีการนำแนวเสียงที่ชัดเจนและสนับสนุนผู้บรรเลงอิมโพรไวส์ โดยในทั้ง 3 กรณีนี้ จะต้องมีการเลือกใช้เทนชันที่เหมาะสมตามบริบทของเพลง โดยผู้เขียนได้ยกตัวอย่างการวางเสียงประสานบนกีต้าร์ในเพลง แดวิลเนเวอร์บีอะนาเตอร์ยู ที่บรรเลงโดยโจ แพส นักกีตาร์แจ๊สในยุคบีบอป และสาธิตการวางเสียงประสานบนกีต้าร์ในเพลง พรีลูดทูอะคิส ผลงานการประพันธ์ของดุค เอลลิงตัน โดยผู้เขียนได้ใช้แนวเสียงดรอปทูในการวางเสียงประสานทั้งหมด ร่วมกับการเติมเทนชันต่าง ๆ ในส่วนการอิมโพรไวส์ในลักษณะบล็อกคอร์ด ได้มีการยกตัวอย่าง การใช้แนวเสียงดรอปทูสร้างทำนองอิมโพรไวส์ ในท่อนอิมโพรไวส์เพลง กอนวิทเดอวิน ที่บรรเลงโดยนักกีตาร์แจ๊ส เวส มอนโกเมอรี และในการบรรเลงประกอบผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง เพลงบลูส์ในคีย์ F โดยผู้เขียนได้สาธิตการใช้แนวเสียงดรอปทูในการวางแนวเสียงเพื่อบรรเลงประกอบ และใช้การนำแนวเสียงแบบต่าง ๆ ได้แก่ การนำแนวเสียงแบบโน้ตร่วม การนำแนวเสียงแบบตามขั้น การนำแนวเสียงแบบเป็นแพทเทิร์น และการนำแนวเสียงแบบโครมาติก
เอกสารอ้างอิง
Baker, David. Jazz Improvisation: A Comprehensive Method for all Players. Bloomington, IN: Frangipani Press, 1983.
Damian, Jon. The Chord Factory. Boston, MA: Berklee Press, 2007.
Hall, Jim. Exploring Jazz Guitar. Milwaukee, WI: Hal Leonard, 1990.
Kunjara, Changton. “Diminished Scale Concepts for Jazz Improvisation.” Rangsit Music Journal 18, 1 (2023): 1-16. https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rmj/article/view/256109/176160. (in Thai)
Kunjara, Changton. Jazz Theory and Improvisation 3 (MUS 351). Prathumthani: Rangsit University Press, 2013. (in Thai)
Pease, Ted, and Ken Pulling. Modern Jazz Voicings: Arranging for Small Band and Medium Ensembles. Boston, MA: Berklee Press, 2001.
Perlak, Kim. Berklee Guitar Theory. Boston, MA: Berklee Press, 2023.
Pruksavanich, Wisuwat. “Saxotronic Funk for Alto Saxophone: A Creative Research in Music Composition.” Rangsit Music Journal 18, 1 (2023): 124-138. https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rmj/article/view/253796/176174. (in Thai)
Thomas, John. Voice Leading for Guitar: Moving Through the Changes. Boston, MA: Berklee Press, 2002.
Trakulhun, Wiboon. Western Music Theory. 3rd ed. Pathumthani: Anantanak, 2021. (in Thai)
Vandemoortele, Peter. “Root Motion Analysis of Chord Progressions of Selected Jazz Compositions Written Between 1980 and 2000.” Rangsit Music Journal 15, 1 (2020): 165-177. https://so06.tci-thaijo.org/index.php/rmj/article/view/190513/162188.
Willmott, Bret. Mel Bay’s Complete Book of Harmony, Theory & Voicing. Pacific, MO: Mel Bay, 1994.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารดนตรีรังสิต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.



