การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู 2) วิเคราะห์สาเหตุความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู และ 3) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู ตัวอย่างวิจัย คือ ครูระดับมัธยมศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 345 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครูและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณโดยส่งแบบสอบถามออนไลน์ และเชิงคุณภาพโดยการสนทนากลุ่มแบบเทคนิคสมมุตินัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index (PNImodified) ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพในด้านเนื้อหาความรู้มากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการรับรู้ทางวัฒนธรรม ด้านการสอน และด้านเทคโนโลยีตามลำดับ 2) สาเหตุความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครูที่สำคัญที่สุด คือ ครูขาดทักษะและความรู้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกับการจัดการเรียนรู้ และ 3) แนวทางในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครูที่สำคัญที่สุด คือ การจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
เอกสารอ้างอิง
เสาวลักษณ์ พันธบุตร (2560). อยู่อย่างคนร่วมสมัยในยุคดิจิทัล, วารสารนวัตกรรมสื่อสารสังคม, 5(2), หน้า 163 - 167.
McDonagh, A., Camilleri, P., Ketil Engen, B. and McGarr, O. (2021). Introducing the PEAT model to frame professional digital competence in teacher education, Nordic Journal of Comparative and International Education, 5(3), pp. 5 – 17
กิตติพศ โกนสันเทียะ (2565). การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี, วารสารราชนครินทร์, 19(1), หน้า 9 - 16.
Schmidt, D. A., Baran, E., Thompson, A. D., Mishra, P., Koehler, M. J., and Shin, T. S. (2009). Technological pedagogical content knowledge (TPACK): The development and validation of an assessment instrument for preservice teachers, Journal of Research on Technology in Education, 42(2), pp. 123 – 149.
สุวิมล ว่องวานิช (2558). การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็น, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพมหานคร.
Koehler, M. J., Mishra, P., Kereluik, K., Shin, T. S., and Graham, C. R. (2014). The technological pedagogical content knowledge framework, In J.M. Spector et al. (eds.), Handbook of Research on Educational Communications and Technology, Springer New York.
Chantarasenanon, C. (2010). Development of A Cultural Competence Scale for Secondary School Students. dissertation, Educational Measurement and Evaluation, Faculty of Education, Chulalongkorn University.
Cohen, L., Lawrence, M., and Keith, M. (2011). Research Methods in Education, 7th Edition Routledge United States of America.
Skantz-Åberg, E., Lantz-Andersson, A., Lundin, M. and Williams, P. (2022). Teachers’ professional digital competence: an overview of conceptualisations in the literature, Cogent Education, 9(1), 2063224.
Heine, S., Krepf, M. and König, J. (2000). Digital resources as an aspect of teacher professional digital competence: One term, different definitions – a systematic review, Education and Information Technologies (2023), 28, pp. 3711 – 3738.
Ottestad, G., Kelentrić, M. and Guðmundsdóttir, B., G. (2014). Professional Digital Competence in Teacher Education. Universitetsforlaget Nordic Journal of Digital Literacy, 9(4), pp. 243 – 249.
Masoumi, D. and Noroozi, O. (2023). Developing early career teachers’ professional digital competence: a systematic literature review, European Journal of Teacher Education, 48(3), pp. 644-666.
Grov Almås, A., Andersen Bueie, A. and Aagaard, T. (2021). From digital competence to Professional Digital Competence: Student teachers’ experiences of and reflections on how teacher education prepares them for working life. NJCIE 2021, 5(4), pp. 70 – 85.
Kristian Andreasen, J., Tømte, C., E., Bergan, I. and Kovac, V., B. (2022). Professional digital competence in initial teacher education: An examination of differences in two cohorts of pre-service teachers. Nordic Journal of Digital Literacy, 17(1), pp. 61 – 74.
Kelentrić, M., Helland, K. and Arstorp, A., T. (2017). Professional Digital Competence Framework for Teachers, The Norwegian Centre for ICT in Education, 134(1), pp. 1 - 74.
กรณัฏฐ์ ฐิตากรพงศ์สถิต, สุมาลี ศรีพุทธรินทร์ และวัชรี แซงบุญเรือง (2565). สภาพความต้องการจำเป็นและแนวทางพัฒนาทักษะดิจิทัลของครู เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร, วารสารรัชต์ภาคย์, 16(47), หน้า 189 - 206.
ภัทราพร เยาวรัตน์ (2565). การศึกษาสมรรถนะและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1, การศึกษาค้นคว้าอิสระระดับศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ณัฐรัตน์ ผดุงถิ่น (2564). ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยแรงจูงใจที่ส่งผลต่อสมรรถนะดิจิทัลของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐมและสุพรรณบุรี, ปริญญานิพนธ์ระดับการศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
อิทธิพัทธ์ สุวทันพรกูล (2561). การวิจัยทางการศึกษาแนวคิดและการประยุกต์ใช้ Educational Research Concepts and Applications, โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Taber, K. S. (2018). The use of Cronbach’s alpha when developing and reporting research instruments in science education. Research in Science Education, 48(6), pp. 1273 – 1296.
Gliem, J. A., & Gliem, R. R. (2003). Calculating, interpreting, and reporting Cronbach’s Alpha reliability coefficient for Likert-type scales. Midwest Research-to-Practice Conference in Adult, Continuing, and Community Education, Lincoln, Nebraska, United States of America.
Polit, D. F., & Beck, C. T. (2006). The Content Validity Index: Are You Sure You Know What's Being Reported? Critique and Recommendations. Research in Nursing and Health, 29, pp. 489-497.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
จริยธรรมในการตีพิมพ์บทความ
- กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์พิจารณาบทความที่มีรูปแบบและคุณสมบัติที่ครบถ้วนตามข้อกำหนดเท่านั้น หากบทความนั้นไม่ตรงตามข้อกำหนด กองบรรณาธิการฯ มีสิทธิ์ในการปฏิเสธลงตีพิมพ์
- ในการขอหนังสือตอบรับการตีพิมพ์ กองบรรณาธิการฯจะออกให้ในกรณีที่บทความนั้นพร้อมที่จะลงตีพิมพ์โดยไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
- การพิจารณาบทความ (Peer review) ของวารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยีถือเป็นที่สิ้นสุด ผลงานวิชาการอาจไม่ได้ลงตีพิมพ์ในเล่มที่กำหนดไว้จนกว่าจะผ่านการพิจารณาบทความ (Peer Review) และพร้อมจะลงตีพิมพ์เผยแพร่แล้วเท่านั้น
- งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมของการวิจัยในมนุษย์และสัตว์จะต้องผ่านการประเมินโดยกรรมการจริยธรรมของต้นสังกัด
- บทความที่ส่งมาต้องไม่เคยเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์อื่นใดมาก่อน และต้องไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร JLIT