การเปรียบเทียบรูปแบบการดำเนินงานระหว่างการค้าปลีกแบบมีหน้าร้าน และการค้าปลีกออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้า

บทคัดย่อ

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลประกอบการทางธุรกิจระหว่างกลยุทธ์การค้าปลีกแฟชั่นแบบดั้งเดิม และการค้าปลีกแฟชั่นออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้า (dropshipping) และเพื่อศึกษาความมั่นคงทางธุรกิจระหว่างกลยุทธ์การค้าปลีกแฟชั่นแบบดั้งเดิม และการค้าปลีกแฟชั่นออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้า กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบธุรกิจการค้าปลีกแฟชั่นแบบมีหน้าร้าน จำนวน 5 ราย และผู้ประกอบธุรกิจการค้าปลีกแฟชั่นโดยใช้กลยุทธ์การค้าออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้า จำนวน 5 ราย ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่มีลักษณะคำถามแบบเจาะลึก การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุป และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยาย ที่เน้นเนื้อหาตามที่ปรากฏในข้อความ โดยการนำข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์ และสรุป ผลการวิจัยพบว่า 1) การทำธุรกิจค้าปลีกแบบมีหน้าร้านมีผลประกอบการอยู่ในช่วงหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท สูงกว่าการทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้าที่มีผลประกอบการอยู่ในช่วงหลักพันถึงหลักหมื่นบาท โดยต้นทุนของการทำธุรกิจค้าปลีกแบบมีหน้าร้านมีการใช้ต้นทุนในการทำธุรกิจตั้งแต่หลักพันบาทขึ้นไป ซึ่งสูงกว่าการทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้าที่ใช้ต้นทุนในการทำธุรกิจเพียงหลักร้อยบาทเท่านั้น และเมื่อเทียบต้นทุนต่อหน่วยสินค้า พบว่าการทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้ามีต้นทุนที่สูงกว่าการสต๊อกสินค้าเอง 2) ความมั่นคงทางธุรกิจการทำธุรกิจค้าปลีกแบบมีหน้าร้านมีการปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน คือ มีการทำธุรกิจในรูปแบบออนไลน์ร่วมด้วย ซึ่งการทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์แบบไม่มีคลังสินค้าผู้ประกอบการต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายไปเป็นการสต๊อกสินค้าเอง