การศึกษามโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงและความดันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es

Main Article Content

ไพรินทร์ พุทธโคตร
คันธทรัพย์ ชมพูพาทย์
นฤมล แสงพรหม

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบมโนมติทางวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและความดัน และศึกษาการเปลี่ยนแปลงมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่องแรงและความดันก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนอนุบาลกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 1 จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 34 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม แบบแผนการวิจัยเป็นแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es และแบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่องแรงและความดัน จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสองกลุ่มสัมพันธ์กัน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es มีมโมติทางวิทยาศาสตร์เรื่อง แรงและความดัน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยนักเรียนที่มีมโนมติทางวิทยาศาสตร์ไม่ผ่านเกณฑ์ในช่วงก่อนเรียนจำนวน 26 คน แล้วผ่านเกณฑ์ในช่วงหลังเรียนสูงถึง21คน

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
พุทธโคตร ไ., ชมพูพาทย์ ค., & แสงพรหม น. (2021). การศึกษามโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงและความดันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es. วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 18(2), 179–187. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edu-rmu/article/view/252568
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2545.คุรุสภาลาดพร้าว.
ชุติมา หันตุลา. (2558).การศึกษาความเข้าใจมโนมติและการเปลี่ยนแปลงมโนมติทางวิทยาศาสตร์เรื่องแสงและการมองเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย[วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
ทัณฑิมา ศรีสร้อย. (2559). ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการเขียนแผนผังมโนมติเรื่องระบบนิเวศ ที่มีต่อมโนมติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม จังหวัดสกลนคร[วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์].มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
นฤมล แสงพรหม. (2560). การวิจัยทางการศึกษา – Educational Research.โฟโต้-บุ๊ค ดอทเน็ต.
ฤทธิชัย เสนาพรหม. (2557). การเปลี่ยนแปลงมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง การย่อยสลายารอาหารแบบใช้ออกซิเจนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เมื่อใช้รูปแบบการสอนแบบเปรียบเทียบตามแนวคิด FOCUS – ACTION – REFLECTOIN (FAR) GUID[วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ลัทธวรรณ ศรีวิคำ. (2559). ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานที่มีต่อมโนมติ เรื่อง ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3[วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์].มหาวิทยาลัยนเรศวร.
สมประสงค์ เสนารัตน์. (2561). การวิจัยทางการศึกษา – Educational Research. (พิมพ์ครั้งที่ 3).อภิชาตการพิมพ์.
สิโรตม์ บุญเลิศ. (2555). ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน 5E ร่วมกับกลวิธีการสะท้อนอภิปัญญาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มโนมติวิทยาศาสตร์และอภิปัญญาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย[วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์].มหาวิทยาลัยทักษิณ.
สุวิมล เขี้ยวแก้ว. (2540). การสอนวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา. ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.
สุวิมล เขี้ยวแก้ว. (2540). สาระร่วมสมัยทางวิทยาศาสตร์ศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
อมรพันธุ์ ช่างน้อย. (2558). ผลการพัฒนามโนมติ เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างแอนิเมชั่นแบบเคลื่อนที่หยุดด้วยดินน้ำมัน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4[วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์].มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ไอนิง เจ๊ะเหลาะ. (2558). การศึกษามโนมติที่คลาดเคลื่อน เรื่อง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้, วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์. 2(1). 1-11.
Costu, B., Ayas, A., & Niaz, M. (2012). Investigating the effectiveness of a POE-based teaching activity on students' understanding of condensation. Instructional Science (Instr Sci), 40(1), 47–67. http://dx.doi.org/10.1007/s11251-011-9169-2