การประเมินโครงการเปิดโลกกว้างสร้างเส้นทางสู่วิชาชีพสำหรับเด็กด้อยโอกาสโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 19 จังหวัดนครศรีธรรมราช
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินบริบทโครงการเปิดโลกกว้างสร้างเส้นทางสู่วิชาชีพสำหรับเด็กด้อยโอกาส 2) เพื่อประเมินปัจจัยนำเข้าโครงการเปิดโลกกว้างสร้างเส้นทางสู่วิชาชีพสำหรับเด็กด้อยโอกาส 3) เพื่อประเมินกระบวนการดำเนินงานโครงการเปิดโลกกว้างสร้างเส้นทางสู่วิชาชีพสำหรับเด็กด้อยโอกาส 4) เพื่อประเมินผลผลิต ของโครงการเปิดโลกกว้างสร้างเส้นทางสู่วิชาชีพสำหรับเด็กด้อยโอกาสโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 19 จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 1 คน รองผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 3 คน ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ จำนวน 12 คน คณะกรรมการสถานศึกษาและผู้นำชุมชน จำนวน 13 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 จำนวน 36 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 65 คน ได้มาโดยการสุ่มวิธีแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) และแบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติดังนี้ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และหลักการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า
ผลการประเมินโครงการเปิดโลกกว้างสร้างเส้นทางสู่วิชาชีพสำหรับเด็กด้อยโอกาส โดยรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อได้พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า 1) ด้านบริบทอยู่ในระดับมากที่สุดและเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ โรงเรียนต้องการที่จะพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะตามที่กำหนด รองลงมาคือวัตถุประสงค์ของโครงการสอดคล้องกับนโยบาย ของโรงเรียนและจุดมุ่งหมายของหลักสูตร และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ วัตถุประสงค์ของโครงการสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2) ด้านปัจจัยนำเข้าของโครงการอยู่ในระดับมาก และเมื่อได้พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า สื่อเอกสารและวัสดุอุปกรณ์มีเพียงพอ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือจำนวนบุคลากรในการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และสถานที่ใช้ดำเนินกิจกรรมเหมาะสม และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การกำหนดเป้าหมายของโครงการมีความเหมาะสม 3) ด้านกระบวนการดำเนินงานของโครงการอยู่ในระดับมาก และเมื่อได้พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ประชุมคณะกรรมการเพื่อวางแผนการดำเนินงาน รองลงมาคือกำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การกำหนดผู้ปฏิบัติงาน และ 4) ด้านผลผลิตของโครงการ อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาแยกเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ นักเรียนมีความรู้ทักษะพื้นฐานในการจัดการ เจตคติที่ดีพร้อมที่จะศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้น รองลงมาคือการฝึกทักษะอาชีพช่วยสร้างประสบการณ์การทำงานและทำให้เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การฝึกทักษะวิชาชีพช่วยให้ค้นพบความรู้และสิ่งใหม่ๆ
Article Details
References
กมลานันท์ บุญกล้า. (2559). การประเมินโครงการเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนบ้านหนอง
ปลาซิว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2. รายงานการวิจัย, มหาวิทยาลัยบูรพา.
ครองธรรม ศรีสองเมือง. (2558). การประเมินโครงการอบรมคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเบื้องต้นของศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชนเทศบาลตำบลแม่ทะ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง. รายงานการวิจัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง.
พัชรีภรณ์ ส่องเนตร. (2564). รายงานการประเมินโครงการส่งเสริมทางด้านทักษะอาชีพของ นักเรียนโรงเรียนสันติสุขพิทยาคม. น่าน: สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน.
วนิดา ไหมพรม. (2560). การพัฒนาคุณลักษณะความเป็นคนดีของนักเรียน โดยใช้กิจกรรม
สร้างสรรค์ 5 ลักษณะ โรงเรียนตะเครียะวิทยาคม. รายงานการวิจัย, สำนักงาน ก.ค.ศ.
วรัฉรีย์ เกตุขำ. (2562). รายงานประเมินโครงการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โรงเรียนบ้านห้วยเหลือง. ตาก: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1.
สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ. (2560). แผนพัฒนาการจัดการศึกษาสงเคราะห์ ระยะ 5 ปี (2560-2564). กรุงเทพมหานคร: สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ.
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2561). ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580). https://www.ratchakitcha.soc.go.th › PDF › 2561
Stufflebeam, Daniel L. (1971). The Relevance of the CIPP Evaluation Model for Educational Accountability. Atlantic City, N.J.