จริยธรรมในการตีพิมพ์ผลงานในวารสารรัฐศาสตร์สาร

          “รัฐศาสตร์สาร” เป็นวารสารวิชาการของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีเป้าหมายนำเสนอผลงานที่มุ่งเชื่อมโยงมิติทางทฤษฎีกับมิติทางปฏิบัติเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ไม่เพียงครอบคลุมเฉพาะในหมู่คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา หรือนักวิจัยเท่านั้น หากยังรวมถึงบุคคลทั่วไปนอกวงวิชาการซึ่งมีความจำเป็นในเชิงนโยบาย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมิติทางทฤษฎีกับมิติทางปฏิบัติจะช่วยให้เกิดการประยุกต์ใช้ความรู้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ก็ช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ที่มีอยู่อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง รวมถึงความต้องการของสังคมยิ่งขึ้น

            กองบรรณาธิการตีพิมพ์วารสาร “รัฐศาสตร์สาร” ปีละ 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน และฉบับที่ 2 ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 ระหว่างเดือนกันยนยาถึงเดือนธันวาคม สำหรับผลงานประเภทบทความวิจัยและบทความวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์

          นอกจากนี้ ในฐานะของวารสารวิชาการที่มีหน้าที่ในการนำเสนอองค์ความรู้ต่าง ๆ ทางด้านสังคมศาสตร์ที่ออกสู่สังคมในวงกว้าง ทำให้วารสารรัฐศาสตร์สาร คำนึงถึงเรื่องของจริยธรรมในการตีพิมพ์ของวารสารในฐานะของวารสารวิชาการเป็นสำคัญ จริยธรรมของวารสารจัดออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อให้ครอบคลุมต่อกระบวนการในการดำเนินการของวารสาร โดยแบ่งออกเป็น ผู้นิพันธ์ (Author) บรรณาธิการวารสาร (Editor) และ ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Reviewer) เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 กลุ่ม ได้ศึกษาและปฏิบัติตามข้อกำหนดทางด้านจริยธรรมของวารสารอย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน

 

บทบาทและหน้าที่ของผู้นิพนธ์ (Duties of Authors)

  1. ผู้นิพนธ์ต้องรับรองว่าผลงานที่เสนอต่อวารสาร “รัฐศาสตร์สาร” จะต้องเป็นผลงานที่ไม่อยู่ในกระบวนการพิจารณาตีพิมพ์ของวารสารวิชาการอื่น
  2. ผู้นิพนธ์ต้องรับรองว่าผลงานที่เสนอต่อวารสาร “รัฐศาสตร์สาร” จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน
  3. ผู้นิพันธ์ต้องรายงานข้อเท็จจริงของผลงานที่ได้รับการการศึกษาวิจัย โดยไม่บิดเบือนข้อมูลและไม่ให้ข้อมูลของผลการศึกษาที่เป็นเท็จ
  4. ผู้นิพันธ์ต้องไม่ละเมิด หรือคัดลอกผลงานของผู้อื่น (Plagiarism) ซึ่งถือเป็นการละเมิดจรรยาบรรณทางวิชาการอย่างร้ายแรง
  5. ผู้นิพันธ์ต้องพิจารณาแก้ไขบทความตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ หรือทำหนังสือชี้แจ้งเหตุผลที่ผู้นิพันธ์ไม่ทำการแก้ไขตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ
  6. ผู้นิพันธ์ต้องเขียนบทความจัดรูปแบบของบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ทางวารสารได้กำหนดเอาไว้ใน “คำแนะนำผู้เขียน”
  7. ผู้นิพันธ์ต้องเคารพการตัดสินใจในการคัดเลือกผลงานการตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่ของวารสาร
  8. หากเกิดการฟ้องร้องหรือการดำเนินคดีทางกฎหมาย อันเป็นผลมาจากบทความของผู้นิพันธ์ ในกรณีนี้ผู้นิพันธ์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน โดยที่วารสารมิได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำใด ๆ ของผู้นิพนธ์

 

บทบาทและหน้าที่ของบรรณาธิการวารสาร (Duties of Editors)

  1. บรรณาธิการวารสารมีหน้าที่ในการพิจารณาคุณภาพของบทความ เพื่อตีพิมพ์ในวารสาร “รัฐศาสตร์สาร”
  2. บรรณาธิการวารสารมีหน้าที่ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ สำหรับประเมินบทความที่ผ่านการพิจารณาให้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร
  3. บรรณาธิการวารสารต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความแก่บุคคลอื่น รวมถึงต้องไม่เปิดเผยข้อมูลระหว่างผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความเอง โดยไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน
  4. บรรณาธิการต้องตัดสินใจคัดเลือกบทความมาตีพิมพ์หลังจากผ่านกระบวนการประเมินบทความแล้ว โดยพิจารณาจาก ความสำคัญ ความใหม่ ความชัดเจนและความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายของวารสารเป็นสำคัญ
  5. บรรณาธิการต้องไม่ทำหน้าที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความในวารสารของตนเอง
  6. บรรณาธิการไม่สามารถส่งบทความของตนเอง มาตีพิมพ์ในวารสารของตนเอง ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก็ตาม
  7. บรรณาธิการต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ

 

บทบาทและหน้าที่ของผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Duties of Reviewers)

  1. ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ ต้องรักษาความลับและไม่เปิดเผยข้อมูลบางส่วนหรือทุกส่วนของบทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณา แก่บุคคลอื่นไม่ว่ากรณีใด ๆ
  2. หลังจากได้รับบทความจากบรรณาธิการวารสารแล้วผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความตระหนักได้ว่า ตนเองอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนต่อผู้นิพนธ์ ด้วยความคุ้นเคยของสำนวนโวหารหรือเป็นผู้ร่วมโครงการวิจัยด้วยกัน เช่น เป็นประธานสอบวิทยานิพนธ์ เป็นกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ หรือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของงานวิจัยดังกล่าว ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความต้องแจ้งให้บรรณาธิการวารสารทราบและปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  3. ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ ควรประเมินบทความในสาขาวิชาที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญ โดยพิจารณาความสำคัญของเนื้อหาในบทความที่มีต่อสาขาวิชานั้น ๆ คุณภาพของการวิเคราะห์ ความเข้มข้นของผลงาน ความถูกต้องของเนื้อหา และไม่ควรใช้อคติส่วนบุคคลที่ปราศจากข้อมูลมารองรับ เป็นเกรฑ์ในการตัดสินพิจารณาบทความ
  4. ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความต้องพิจารณาบทความภายใต้กรอบระยะเวลาที่ทางกองบรรณาธิการได้กำหนดและแจ้งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความทราบอย่างเคร่งครัด