รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียนของนักศึกษาครูสาขาช่างอุตสาหกรรม (ACTIVITY-BASED LEARNING MODEL TO ENHANCE LEARNING CLASSROOM ACTION RESEARCH ABILITY FOR PRE-SERVICE TEACHERS OF INDUSTRIAL EDUCATION)

Main Article Content

ประภัสสร วงษ์ดี (Prapassorn Wongdee)

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียนของนักศึกษาครูสาขาช่างอุตสาหกรรม 2) ศึกษาความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านวิจัยของนักศึกษาครูสาขาช่างอุตสาหกรรม และ 4) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้ฯ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาครูช่างสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ชั้นปีที่ 4 (หลักสูตร 5 ปี) จำนวน 50 คน เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน แบบประเมินความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านวิจัย และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้เป็นฐาน ดำเนินการทดลองใช้รูปแบบรอบที่ 1 กับนักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ชั้นปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557จำนวน 38 คน และ ทดลองรอบที่ 2 กับนักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ชั้นปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 28 คน และใช้จัดการเรียนรู้กับกลุ่มตัวอย่าง ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติที (Dependent samples t—test) ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานที่พัฒนาขึ้น ได้บูรณาการจัดการเรียนรู้โดยให้แนวคิด และ หลักการวิจัย ควบคู่กับการปฏิบัติกิจกรรมการวิจัย หลักการของรูปแบบเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ความสามารถในการทำวิจัยด้วยการ “ปฏิบัติการทำโครงงานวิจัย” จนครบกระบวนการทำวิจัย โดยผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวก และเป็นพี่เลี้ยงให้คำชี้แนะ และอิงรูปแบบการเรียนแบบผสมผสาน จัดการเรียนรู้ในห้องเรียนแบบเน้นการปฏิบัติกิจกรรมการวิจัยตามเป้าหมายในแต่ละสัปดาห์ และมีเฟสบุ๊คกลุ่ม เป็นสื่อกลางในการเสนอสื่อการเรียนรู้ สื่อประกอบการบรรยาย ตัวอย่างงานวิจัย กิจกรรมต่างๆ ที่ผู้เรียนดำเนินการในห้องเรียน สื่อกลางเพื่อเสนอข้อมูลกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละสัปดาห์ และเป็นศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารและขอคำปรึกษานอกเวลาเรียน แบ่งเนื้อหาออกเป็น 7 โมดูล ประกอบด้วย 1) กำหนดโจทย์วิจัย 2) การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 3) กำหนดขอบเขตการวิจัย 4) เครื่องมือวิจัย 5) วิธีดำเนินการวิจัย 6) การเก็บรวบรวมข้อมูลและ วิเคราะห์ข้อมูล 7) การเขียนรายงานวิจัย เวลาในการดำเนินการจัดการเรียนรู้รวม 15 สัปดาห์ แต่ละโมดูลมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) รับรู้เป้าหมายงาน 2) เรียนรู้หลักการ 3) ฝึกปฏิบัติการวิจัย 4) เสนอผลการปฏิบัติการวิจัย และ 5) รับการประเมินผลการทำวิจัย ข้อเสนอแนะ และปรับปรุง (Formative Assessment) และ เมื่อจัดการเรียนรู้ครบ 15 สัปดาห์แล้วทำการวัดผลความสมบูรณ์และถูกต้องจากการเขียนรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้อย่างถูกต้องตามหลักการวิจัย เพื่อตัดสินผล (Summative Evaluation) จากคะแนนของผู้ประเมินงานวิจัย 2 คน และพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการทำวิจัยอยู่ในระดับดีมาก มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิจัยทางการศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
(Prapassorn Wongdee) ป. ว. (2018). รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียนของนักศึกษาครูสาขาช่างอุตสาหกรรม (ACTIVITY-BASED LEARNING MODEL TO ENHANCE LEARNING CLASSROOM ACTION RESEARCH ABILITY FOR PRE-SERVICE TEACHERS OF INDUSTRIAL EDUCATION). Journal of Education and Innovation, 21(1), 109–126. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/132380
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Banegas, D., A. Pavese, A. Velázquez, & A. M. Vélez. (2013). Teacher professional development through collaborative action research: impact on foreign English-language teaching and learning. Educational Action Research, 21(2), 185-201.
Bleach, J. (2014). Improving numeracy outcomes for children through community action research. Educational Action Research, 23(1), 22- 35.
Craig, S. W., & James, A. W. (2003). An instructor’s guide to understanding test reliability.
Testing & Evaluation Services, University of Wisconsin. Retrieved from https://testing.wisc.edu/Reliability.pdf
Jammor, P., Prasarnpun, S. Kaewurai, W., & Lhincharoen, A. (2016). A development of blended learning management model in biology using resource based learning to enhance learning ability for high school students. Journal of Education Naresuan University, 18(2), 37-49. [in Thai]
Khaemani, T. (2013). Teaching science knowledge for the efficiency process of learning (17th ed). Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai]
Moomark, M., Onthanee, A., Kaewurai, W., & Lhincharoen, A. (2016). A curriculum development to enhance classroom action research competency with knowledge management network for teachers. Journal of Education Naresuan University, 18(1), 1-9. [in Thai]
Niemi, R., Kumpulainen, K., & Lipponen, L. (2015). Pupils’ documentation enlightening teachers’ practical theory and pedagogical actions. Educational Action Research, 23(4), 599-614.
Office of Higher Education Commission. (2011). Curriculum of teacher production at present. Journal of Higher Education, 37(392), 11. [in Thai]
Office of the Education Council. (2007). Project-based learning. Bangkok: The Agricultural Cooperative Federation of Thailand. [in Thai]
Office of the National Education Commission. (2002). National Education Acts, B.E. 2542. Office of the National Education Commission, Bangkok. [in Thai]
Prachanban, P. (2017). The development of the factors, indicators and criteria for the evaluation of research mind of graduate researchers. Journal of Education Naresuan University, 19(1), 11-22. [in Thai]
Ulvik, M. (2014). Student-teachers doing action research in their practicum: why and how? Educational Action Research, 22(4), 518-533.
Wongdee, P., Yampinit, S., Mejareurn, S., & Chimphlee, W. (2016). Analysis of learning effectiveness to enhance research ability of pre-service teachers in industrial technology education. KMUTT Research and Development Journal, 39(4), 597-614. [in Thai]