การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1

Main Article Content

ณรงค์ศักดิ์ อุตรา
พิชามญชุ์ สุรียพรรณ
สิริสวัสช์ ทองก้านเหลือง

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียน 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียน และ 3) ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา ขั้นที่ 1 เปรียบเทียบสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 226 คน คัดเลือกแบบแบ่ง  ชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่น 0.97 ขั้นที่ 2 สร้างและพัฒนารูปแบบฯ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 7 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ ขั้นที่ 3 ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างฯ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 390 คน คัดเลือกแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่น 0.98 สถิติที่ใช้ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบทีและวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียน สภาพปัจจุบันโดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.72 อยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 อยู่ในระดับมาก มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการพัฒนารูปแบบฯ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ 25 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 5 ตัวชี้วัด (2) การจัดการเรียนรู้ 4 ตัวชี้วัด (3) การวัดและประเมินผลการเรียน 4 ตัวชี้วัด (4) บุคลิกภาพส่วนบุคคล 5 ตัวชี้วัด (5) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ 5 ตัวชี้วัด และ (6) ทักษะทางสังคม 2 ตัวชี้วัด และ 3) ผลการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-Square=1.34 ,P-Value=0.06, X2/df =1.34, CFI=0.99, TLI=0.99, RMSEA=0.03) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์น้ำหนักองค์ประกอบ ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 0.86 (2) การจัดการเรียนรู้ 0.95 (3) การวัดและประเมินผลการเรียน 0.98 (4) บุคลิกภาพส่วนบุคคล 0.81 (5) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ 0.90 และ (6) ทักษะทางสังคม 0.96 ตามลำดับ ทุกองค์ประกอบมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
อุตรา ณ., สุรียพรรณ พ. ., & ทองก้านเหลือง ส. . (2025). การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 . วารสารวิจยวิชาการ, 8(6), 19–36. https://doi.org/10.14456/jra.2025.134
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์. (2563). การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2566 – 2570. (2565, 1 พฤศจิกายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 139 ตอนพิเศษที่ 258 ง, หน้า 122.

พระสมุห์สมพร อุชุธมฺโม (นิ่มนวล). (2562). หลักการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา. วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์, 9(3), 67-80.

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1. (2566). รายงานผลการดำเนินงานประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2566. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/kcLfQ

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1. (2566). ประกาศคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/iZd5b

สุกัญญา แช่มช้อย. (2563). นวัตกรรมการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาเพื่อสร้างนวัตกร. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 22(2), 199-205.

สุกัญญา เเช่มช้อย. (2566). การบริหารวิชาการที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคพลิกผัน.(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อมรรัตน์ ศรีพอ. (2561). กลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาเอกชนตามแนวคิดทักษะความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา). คณะครุศาสตร์ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อรชร ปราจันทร์ และสุกัญญา แช่มช้อย. (2561). รูปแบบการบริหารเพื่อการพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น, 12(1), 156-169.

Martins, E.C. & Terblanche, F. (2003). Building organizational culture that stimulates creativity and innovation. European Journal of Innovation Management, 6(1), 64-74.