คำแนะนำสำหรับผู้เขียน
เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2564 เป็นต้นไป
- นโยบายการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาวิทยากร
วารสารวิชาการสถาบันวิทยากรเป็นวารสารวิชาการมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้พระสงฆ์และผู้สนใจทั่วไป ได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านพระพุทธศาสนาและผลงานทางสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ตลอดจนบทวิเคราะห์เชิงบูรณาการที่เสนอองค์ความรู้ใหม่ หรือแนวทางการพัฒนาการศึกษา ฝึกอบรมสำหรับสงฆ์และสังคม เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางพระพุทธศาสนาและการประยุกต์ใช้หลักธรรมในเชิงวิชาการ
บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ในวารสาร จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร
ส่วนข้อคิดเห็นต่างๆ ที่ปรากฏในบทความในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และข้อคิดเห็นนั้นไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร รวมทั้งผู้เขียนจะต้องคำนึงถึงจริยธรรมการวิจัย ไม่ละเมิดหรือคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ซึ่งทางวารสารได้กำหนดความซ้ำของผลงาน ด้วยโปรแกรม CopyCat เว็บ Thaijo ในระดับ ไม่เกิน 20% โดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 1 เดือน กรกฎาคม 2564 เป็นตันไป
วารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจำนวน 4,000 บาท (สี่พันบาทถ้วน) ต่อ 1 บทความ โดยผู้เขียนจะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามคำแนะนำสำหรับผู้เขียน หากไม่ปฏิบัติตามกติกา กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ และไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้ 1. หากบทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 20% 2. ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสาร 3. บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือ 4. ไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะตามระยะเวลาที่กำหนด (1 เดือน หลังการแจ้งของบรรณาธิการ) ผู้เขียนสามารถชำระค่าธรรมเนียมผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชี 111-1-91225-0 ชื่อบัญชี "น.ส.ธรรมอธิษฐาน พรบันดาลชัยและน.ส.เกษริน บุตรา" เมื่อชำระแล้วกรุณาส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่ monkde2563@gmail.com***
- หลักเกณฑ์การนำบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสถาบันพระวิทยากร
วารสารวิชาการสถาบันวิทยากรสนใจและคัดเลือกบทความที่มีลักษณะเป็นสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รวมถึงแนวทางการพัฒนาสังคมและศาสนา โดยมีลักษณะดังนี้ 1) มีความคิดทางด้านการเสนอแนวคิดทางด้านการวิจัยและนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ 2) มีข้อคิดเห็นหรือข้อโต้แย้งทางทฤษฎี 3) มีการเสนอการบูรณาการความรู้ใหม่ๆ
กองบรรณาธิการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณาบทความ กองบรรณาธิการจะทำการคัดเลือกโดยมีเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้
1) บทความมีการใช้ภาษาและการเขียนที่มีโครงสร้างของบทความที่พิจารณาความถูกต้องตามหลักการเขียนบทความ
2) บทความวิจัยมีความเหมาะสมของระเบียบวิธีวิจัย มีการอ้างอิงและสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่
3) บทความมีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม
4) บทความที่ส่งมาจะต้องมีลักษณะเป็นความเรียง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทความอย่างชัดเจน และไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน
บทความต้องมีส่วนประกอบดังนี้
1) ชื่อเรื่องทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
2) มีบทคัดย่อภาษาไทยสำหรับบทความวิชาการที่มีความยาวไม่เกิน 300 คำ บทคัดย่อภาษาไทยสำหรับบทความวิจัยมีความยาวไม่เกิน 350 คำ และบทคัดย่อภาษาอังกฤษตามภาษาไทย จำนวนคำขึ้นอยู่กับภาษาไทย และบทคัดย่อภาษาอังกฤษมีความถูกต้องตามหลักโครงสร้างและไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษ ตามมาตรฐานวิชาชีพ
3) ชื่อผู้เขียนทุกคน และหน่วยงานที่สังกัดของผู้เขียนทุกคน พร้อมภาษาอังกฤษกำกับ ระบุ email ของผู้เขียนหลัก
4) คำสำคัญ (Keywords) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (3 – 5 คำ)
5) เนื้อหาของบทความ ประกอบด้วยหัวข้อดังนี้
บทความวิจัย ให้เรียงลำดับสาระ ดังนี้
1) บทคัดย่อ (Abstract) ภาษาไทย มีความยาวไม่เกิน 350 คำ และภาษาอังกฤษ มีความยาวขึ้นอยู่กับภาษาไทย เสนอวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการวิจัยและผลการวิจัยโดยสรุปมีความกะทัดรัด และสั้น
2) คำสำคัญ (Keywords) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (3 – 5 คำ)
3) บทนำ (Introduction) ระบุความสำคัญของปัญหาการวิจัยกรอบแนวคิดและระบุวัตถุประสงค์การวิจัย
4) ระเบียบวิธีวิจัย (Research Methodology) ระบุแบบแผนการวิจัยการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างและการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
5) ผลการวิจัย/ผลการทดลอง (Result) เสนอผลที่พบตามวัตถุประสงค์การวิจัยตามลำดับอย่างชัดเจน ควรเสนอในรูปตารางหรือแผนภูมิ
6) อภิปรายผล/วิจารณ์ (Discussion) เสนอเป็นความเรียง ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของผลการวิจัยกับกรอบแนวคิด และงานวิจัยที่ผ่านมา ไม่ควรอภิปรายเป็นข้อๆ แต่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของตัวแปรที่ศึกษาทั้งหมด
7) องค์ความรู้ใหม่จากการวิจัย ระบุองค์ความรู้ที่ได้อันเป็นผลมาจากการวิจัย ผ่านการสังเคราะห์ ออกมาในรูปแบบของ แผนภูมิ แผนภาพ หรือ ผังมโนทัศน์ พร้อมทั้งการอธิบายที่รัดกุม เข้าใจได้ง่าย
8) สรุป (Conclusion) ระบุข้อสรุปที่สำคัญของเนื้อหาโดยรวมและองค์ความรู้ใหม่
9) ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ และข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
10) เอกสารอ้างอิง (Reference) ต้องเป็นรายการที่มีการอ้างอิงไว้ในเชิงอรรถเท่านั้น
บทความพิเศษ บทความวิชาการ บทความปริทรรศน์ ปกิณกะ ให้เรียงลำดับสาระ ดังนี้
1) บทคัดย่อ (Abstract) ภาษาไทย มีความยาวไม่เกิน 300 คำ และภาษาอังกฤษ มีความยาวขึ้นอยู่กับภาษาไทย และบทคัดย่อภาษาอังกฤษมีความถูกต้องตามหลักโครงสร้างและไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษ ตามมาตรฐานวิชาชีพ
2) คำสำคัญ (Keywords) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (3 – 5 คำ)
3) บทนำ (Introduction) กล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา อย่างกว้างๆ นำเสนอตัวอย่างของข้อมูล/ปัญหาเชิงสถานการณ์ (Man Idea) เสนอหลักการและยืนยันถึงสิ่งที่ต้องการนำเสนอในบทความ
4) เนื้อเรื่อง (Content) แสดงสาระสำคัญที่ต้องการนำเสนอตามลำดับประกอบด้วยทฤษฎีหรือแนวคิด และวิเคราะห์ กรณีตัวอย่าง
5) สรุป (Conclusion)
6) เอกสารอ้างอิง (Reference)
- รูปแบบของการจัดเตรียมต้นฉบับ
1) ต้นฉบับบทความต้องมีความยาว 12-15 หน้ากระดาษ A 4 (รวมเอกสารอ้างอิง) พิมพ์บนกระดาษหน้าเดียว ใช้ตัวอักษรแบบ THSarabunPSK เท่านั้น ตั้งค่าหน้ากระดาษโดยเว้นขอบข้างบน ขอบซ้าย 1 นิ้ว และขอบขวา ขอบล่าง 1 นิ้ว กำหนดระยะห่างระหว่างบรรทัดเท่ากับ 1 และเว้นบรรทัดระหว่างแต่ละย่อหน้า การนำเสนอรูปภาพและตาราง ต้องนำเสนอรูปภาพและตารางที่มีความคมชัดพร้อมระบุหมายเลขกำกับรูปภาพไว้ด้านล่าง พิมพ์เป็นตัวหนา เช่น ตาราง 1 หรือ Table 1 และ รูป 1 หรือ Figure 1 รูปภาพที่นำเสนอต้องมีรายละเอียดของข้อมูลครบถ้วนและเข้าใจได้โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปอ่านที่เนื้อความอีก ระบุลำดับของรูปภาพทุกรูปให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่อยู่ในต้นฉบับ โดยคำอธิบายต้องกระชับและสอดคล้องกับรูปภาพที่นำเสนอ
2) ชื่อเรื่องต้องมีภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พิมพ์ไว้หน้าแรกตรงกลาง ภาษาไทย ขนาด 20 point, กำหนดกลางกระดาษ, ตัวหนาภาษาอังกฤษ ขนาด 20 point, กำหนดกลางกระดาษ, ตัวหนา
3) ชื่อผู้เขียน ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ระบุถึงหน่วยงาน,สถานศึกษา เช่น คณะพุทธศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้วยอักษร ภาษาไทย – อังกฤษ ขนาด 16 point, ชื่อภาษาไทย ตัวหนา- หน่อยงาน, สถานศึกษา ขนาด 16 point, และอีเมล์ติดต่อ กำหนดชิดขวาของหน้ากระดาษ
4) มีบทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สำหรับบทความวิจัยไม่เกิน 350 คำ และบทความวิชาการไม่เกิน 300 คำต่อบทคัดย่อ
5) กำหนดคำสำคัญ (Keywords) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
6) การเรียงหัวข้อ หัวข้อใหญ่สุด ให้พิมพ์ชิดขอบด้านซ้าย ขนาด 18 point หัวข้อย่อยเว้นห่างจากหัวข้อใหญ่ 3-5 ตัวอักษร พิมพ์ตัวที่ 6 และหัวข้อย่อยขนาดเดียวกัน ต้องพิมพ์ให้ตรงกัน เมื่อขึ้นหัวข้อใหญ่ ควรเว้นระยะพิมพ์ เพิ่มอีก 0.5 ช่วงบรรทัด
7) การใช้ตัวเลข ควรใช้ตัวเลขอารบิกทั้งหมด
- ระบบการอ้างอิงและเอกสารอ้างอิงทางวิชาการ
การอ้างอิง ให้ใช้รูปแบบ American Psychological Association (APA) (6th Edition) เป็นมาตรฐาน โดยสามารถตัวอย่างวิธีการเขียนเอกสารอ้างอิง ที่ถูกต้องเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของ APA https://www.apastyle.org เป็นการอ้างอิงโดยใช้ระบบนามปี โดยให้ใช้ระบบตัวอักษรโดยใช้วงเล็ก เปิด-ปิด แล้วระบุชื่อ-นามสกุลของผู้เขียนและเลขหน้าของเอกสารที่นำมาอ้างอิง กำกับท้ายเนื้อความที่ใต้อ้างอิง เอกสารที่อ้างอิงในบทความจะต้องปรากฎในเอกสารอ้างอิงท้ายบทความทุกรายการ และเจ้าของบทความต้องรับผิดชอบถึงความถูกต้องของเอกสารที่นำมาอ้างอิงทั้งหมด
ตัวอย่างการเขียนเอกสารอ้างอิง ประกอบด้วย
4.1 การอ้างอิงในเนื้อหา ให้ใช้การอ้างอิงระบบนามปี โดยกำหนดดังนี้
4.1.1 หากชื่อผู้แต่งอยู่หน้าข้อความที่อ้างถึง ให้ใช้ ชื่อผู้แต่ง (ปีพิมพ์) เช่น (สมภาร พรมทา, 2006)
หากเป็นพระไตรปิฎก ให้อ้างหน้าข้อความว่ามาจากข้อความในคัมภีร์ไหน เล่ม ข้อ หน้าอะไร เช่น ในพระสูตรเล่ม 10 ข้อ 120 หน้า 360 และท้ายข้อความตามชื่อว่าเป็นของหน่วยงานใด เช่น (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539) หรืออ้างพระไตรปิฎกเล่มที่ ข้อที่ หน้าที่ แล้วตามด้วยผู้พิมพ์ พ.ศ. ในวงเล็บ เช่น (พระไตรปิฎกภาษาไทยเล่มที่ 10 ข้อ 120 หน้า 360, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539)
4.1.2 หากชื่อผู้แต่งอยู่ท้ายข้อความที่อ้างถึง ให้ใช้ (ชื่อผู้แต่ง, ปีพิมพ์)
การอ้างอิงจากเอกสารภาษาไทย
1) ตัวอย่าง ผู้แต่งหนึ่งรายให้อ้างชื่อผู้แต่งเครื่องหมายจุลภาค (,) ตามด้วยเลข พ.ศ. ที่ตีพิมพ์ และคั่นด้วยเครื่องหมายทวิภาค (:) เลขหน้าของเอกสารที่นำมาอ้างอิง เช่น (สมภาร พรมทา,2550)
2) ผู้แต่งสองรายให้อ้างชื่อของผู้แต่งสองรายเครื่องหมายจุลภาค (,) ตามด้วยปีที่พิมพ์เครื่องหมายทวิภาค (:) และเลขหน้าของเอกสารที่นำมาอ้างอิงเช่น (กรุณา กุศลาสัยและเรืองอุไร กุศลาสัย, 2560) หากมีเอกสารที่นำมาอ้างอิงมากกว่า 1 รายการให้ใช้เครื่องหมายอัฒภาค (;) คั่นระหว่างรายการอ้างอิง เช่น (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), 2555; ศุภชัย ศุภผล,2558)
3) ถ้ามีผู้แต่งมากกว่า 2 รายให้อ้างชื่อของผู้แต่งรายแรกเว้นวรรคหนึ่งครั้งเพิ่มคำว่าและคณะเครื่องหมายทวิภาค (:) และเลขหน้าของเอกสารที่นำมาอ้างอิง เช่น (พระพรหมบัณฑิตและคณะ, 2561)
4) ให้เรียงลำดับการอ้างอิงตามลำดับพยัญชนะตัวแรกของชื่อผู้แต่งเช่นเดียวกับลำดับการอ้างอิงในส่วนเอกสารอ้างอิง
การอ้างอิงจากเอกสารภาษาอังกฤษ
1) ถ้ามีผู้แต่งหนึ่งรายให้อ้างนามสกุลของผู้แต่ง เครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์ และหน้าที่นำมาอ้างอิง เช่น (Machiavelli, 1991)
2) ถ้ามีผู้แต่งสองรายให้อ้างนามสกุลของผู้แต่งสองราย เครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์ และหน้าที่นำมาอ้างอิง เช่น (Jovinelly & Netelkos,2007) และให้ใช้เครื่องหมาย อัฒภาค (;) คั่นกลางระหว่างเอกสารที่นำมาอ้างอิงมากกว่า 1 เอกสาร เช่น (Machiavelli, 1991; Jovinelly & Netelkos,2007)
3) ถ้ามีผู้แต่งมากกว่า 2 รายให้อ้างนามสกุลของผู้แต่งรายแรกตามด้วย et al, ปีที่พิมพ์ และหน้าที่นำมาอ้างอิง (Keown et al., 2004)
4) ให้เรียงลำดับการอ้างอิงชื่อผู้แต่ง
การอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์
ใช้ชื่อ ตำแหน่งและวันเวลาที่สัมภาษณ์ เช่น (ณรงค์ รัศมี, กรรมการบริหารบริษัท เอส เอ็น เอส การขนส่ง จำกัด, สัมภาษณ์ 24 มีนาคม 2565)
4.2 การอ้างอิงท้ายบทความ ให้ใช้รูปแบบ APA ดังตัวอย่างดังต่อไปนี้
1) หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง. (ครั้งที่พิมพ์). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
เช่น
สุมน อมรวิวัฒน์. (2529). การศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล.
2) บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร, ปีที่(ฉบับที่), หน้าแรก - หน้าสุดท้าย ของบทความ.
เช่น
ธิติวุฒิ หมั่นมี. (2557). การวางแผนและการติดต่อประสานงานเชิงพุทธ. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์,
3(1), 25-31.
3) แหล่งข้อมูลจาก รายงานการวิจัย/ดุษฎีนิพนธ์/วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์ (ระดับวิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัย
เช่น
สัมฤทธิ์ ต่อสติ. (2542). การมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินงานของสถานบริการสาธารณสุขเขตเมือง
กรณีศึกษาศูนย์ แพทย์ชุมชนเมือง พระนครศรีอยุธยา (วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยมหิดล.
4) แหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่องหรือบทความ. สืบค้นเมื่อ วัน เดือน ปี, จาก Url ของแหล่งข้อมูล.
เช่น
พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). (2555). การจัดการศาสนาและวัฒนธรรมในองค์กร. สืบค้นเมื่อวันที่ 7
กรกฎาคม 2557, จาก www.mcu.ac.th/article/index.html.
5) การสัมภาษณ์
สามารถอ้างอิงในเนื้อหา แต่ไม่ต้องเขียนรายการเอกสารอ้างอิงตอนท้าย
ตัวอย่างการเขียนเอกสารอ้างอิง (References)
เพลโต.(2523). The Republic (อุตมรัฐ). แปลโดย ปรีชา ช้างขวัญยืน. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุมน อมรวิวัฒน์. (2529). การศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหิดล.
ทิศนา แขมมณี. (2548). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
- การเตรียมต้นฉบับ
ต้นฉบับต้องมีไม่ต่ำกว่า 10 หน้า ความยาวไม่เกิน 15 หน้ากระดาษ ขนาด A4 พร้อมบันทึกไฟล์บทความที่อยู่ในรูปแบบ Microsoft Word (*.doc หรือ *.docx) พิมพ์บนกระดาษหน้าเดียว ใช้ตัวอักษร THSarabun PSK ตั้งค่าหน้ากระดาษโดยเว้นขอบบน ขอบซ้าย 1 นิ้ว และขอบขวา ขอบล่าง 1 นิ้ว กำหนดระยะห่างระหว่างบรรทัดเท่ากับ 1 และเว้นบรรทัดระหว่างแต่ละย่อหน้า การนำเสนอรูปภาพและตาราง ต้องนำเสนอรูปภาพและตารางที่มีความคมชัดพร้อมระบุหมายเลขกำกับรูปภาพไว้ด้านล่าง พิมพ์เป็นตัวหนา เช่น ตาราง 1 หรือ Table 1 และ รูป 1 หรือ Figure 1 รูปภาพที่นำเสนอต้องมีรายละเอียดของข้อมูลครบถ้วนและเข้าใจได้โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปอ่านที่เนื้อความอีก ระบุลำดับของรูปภาพทุกรูป ให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่อยู่ในต้นฉบับ โดยคำอธิบายต้องกระชับและสอดคล้องกับรูปภาพที่นำเสนอ
บทปริทัศน์หนังสือ (Book Review) ต้องประกอบด้วยชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ และจำนวนหน้าของหนังสือ โดยผู้ปริทัศน์สามารถเขียนด้วยความยาวไม่เกิน 10 หน้า พร้อมบันทึกไฟล์บทความที่อยู่ในรูปแบบ Microsoft Word (*.doc หรือ *.docx)
ส่งในระบบ (Online Submission) สามารถสมัครและส่งเข้าระบบออนไลน์ได้ที่เว็ปไซต์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/tmd/index ทางบรรณาธิการจะพิจารณาเพื่อแก้ไขในเบื้องต้น เพื่อให้ผู้เขียนแก้ไข แต่หากไม่มีการแก้ไข จะส่งเพื่อ peer reviews เพื่อประเมินและส่งให้แก้ไข เมื่อประเมินผ่านและมีการแก้ไขจะต้องส่งเข้าระบบเพื่อตีพิมพ์ต่อไป